บทที่ 7
ขีดจำกัดการรับรู้ของมนุษย์ในเรื่องศาสนาและ
ความพยายามข้ามพ้นขีดจำกัดดังกล่าว
“อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลกับความเชื่อ?”
จากที่เราได้ทำการศึกษาศาสนาจากการวิเคราะห์ของปรัชญา สิ่งหนึ่งที่เราสรุปได้สั้นๆ เกี่ยวกับศาสนา คือ ศาสนาเป็นเหมือนกับ “สะพานเชื่อม” ระหว่างมนุษย์กับความเป็นจริงสูงสุด มนุษย์มีความปรารถนาที่จะพัฒนาตนเองสู่ความรอดพ้น ปราศจากความทุกข์ ปราศจากความตาย ฯลฯ เพื่อประสบกับสันติสุขเที่ยงแท้ ถาวร ศาสนาเป็นวิถีชีวิตสู่ความรอดพ้นที่มนุษย์ฝากฝังชีวิตของตน ด้วยการอุทิศตนสู่ความจริงในศาสนาที่ตนนับถือ เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ทั้งนี้อย่าลืมว่าความจริงในศาสนา เป็นความจริงที่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงสูงสุดที่อยู่เกินขอบเขตโลกแห่งประสาทสัมผัส (Transcendent) ในขณะที่มนุษย์ยังมีความจำกัด ยังอยู่ในโลกแห่งประสาทสัมผัส มนุษย์มีธรรมชาติที่เป็นกายและจิต จึงมีทั้งส่วนที่เป็นสัญชาตญาณและสติปัญญา แม้ศาสนาจะให้ความสำคัญแก่จิตใจมากกว่าร่างกาย แต่ศาสนาไม่ละเลยที่จะหาแนวทาง (มาตรการ/กฎเกณฑ์/ระเบียบวิธี) ที่เกี่ยวข้องกับร่างกายเพื่อช่วยให้มนุษย์ (ผู้นับถือศาสนา) ได้บำเพ็ญตนสู่ความจริงของศาสนาอย่างจริงจัง ดังนั้น ศาสนาในฐานะสะพานเชื่อมระหว่างความเป็นจริงสูงสุดกับมนุษย์ จึงต้องประกอบมีคุณลักษณะที่รองรับคุณลักษณะทุกอย่างของมนุษย์ โดยมี “ความเชื่อเป็นพื้นฐาน” และใช้ “เหตุผล” เพื่อไม่หลงทางต่อความจริงในศาสนานั้น ๆ
1. คุณค่าและความหมายของความเชื่อศรัทธาในศาสนา
ตามที่นำเสนอไปแล้วว่า ความจริงในศาสนาเป็นความจริงที่ประจักษ์แจ้งด้วยจิตใจ เป็นความจริงฝ่ายจิตวิญญาณที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือสังคมศาสตร์ ฯลฯ ได้ทั้งหมด ความจริงในศาสนามีความชัดแจ้งในตนเอง (ในฐานะที่ความจริงในศาสนามีลักษณะเป็นอุตรภาพ/ความจริงสูงสุด) แต่อย่าลืมว่า ผู้นับถือศาสนาเป็นมนุษย์ที่ยังมีความจำกัดทางกายภาพ ยังไม่มีความเข้าใจ (หรือบรรลุถึงความจริงในศาสนา) ได้ทั้งหมด ความจริงในศาสนายังคงมีหลายส่วนที่เป็นความลึกลับ (ธรรมล้ำลึก/Mystery) ที่ศาสนิกชนค่อย ๆ มีความชัดเจนมากขึ้น อาศัยการทุ่มเท อุทิศตนต่อการประพฤติปฏิบัติตนมุ่งสู่ความจริงในศาสนา ทุกศาสนาจึงจำเป็นต้องมีความเชื่อศรัทธาเป็นพื้นฐาน ที่เป็นทั้งหลักประกัน ความหวัง และพลังผลักดัน เพื่อศาสนิกชนทุ่มเทต่อการมุ่งสู่ความจริงในศาสนานั้นๆ อย่างจริงจัง ความเชื่อศรัทธาจึงเป็นเครื่องชักจูงและจรรโลงจิตใจให้ผู้คนเริ่มต้นปฏิบัติตามความจริงในศาสนา ด้วยความพากเพียร อดทน ความเชื่อศรัทธาเป็นสิ่งเชื่อมโยงระหว่างความรู้อันจำกัดไปสู่ความรู้อันไม่จำกัดของมนุษย์ ต่อความเป็นจริงสูงสุด ความเชื่อศรัทธาจึงเป็นเหมือนกับการผูกพัน ที่เชื่อมโยงให้มนุษย์อุทิศตนสู่ความจริงในศาสนา
1.1 ลักษณะของความเชื่อศรัทธาในศาสนา : ความเลื่อมใสในศาสดาสู่ความเชื่อศรัทธาในความจริงของศาสนา
การเริ่มต้นความเชื่อศรัทธาในศาสนาที่ผูกพันให้ผู้นับถือศาสนาอุทิศตนเองสู่ความจริงในศาสนา มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ความประทับใจต่อ “บุคคล” หรือภาพลักษณ์ที่สัมผัสได้การติดต่อสัมพันธ์ (ทางประสาทสัมผัส) บรรดานักเผยแผ่ศาสนาต่างๆ ดูเหมือนมีความคิดตรงกันอยู่จุดหนึ่ง คือ การสร้างความเลื่อมใสศรัทธาในตัวศาสดาก่อน ต่อมาจะเกิดความเชื่อศรัทธาและพยายามดำเนินตามรูปแบบ (ชีวิต/คำสอน) ของศาสดาเพื่อบรรลุความจริงสูงสุดตามรูปแบบที่ศาสดานำเสนอ (สุวรรณา สถาอานันท์, 2545)
1.1.1 บทบาท/ความสัมพันธ์ของศาสดาต่อความเป็นจริงสูงสุด
แบ่งได้สองแนวตามประเภทของศาสนา โดยมีตัวบ่งชี้ที่สำคัญ คือ ความสนใจที่มา เป้าหมายและวิถีการบรรลุถึงความเป็นจริง (สูงสุด) หรือไม่ กล่าวคือ ศาสนาแนวเทวนิยม เน้นความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นจริงสูงสุดกับโลก (The Absolute Being and the World) ในขณะที่ศาสนาแนวอเทวนิยม (ธรรมชาตินิยมและมนุษยนิยม) เน้นโลกที่ปราศจากความเป็นจริงสูงสุด (The World without the Absolute Being) (Edwards, 1972)
ก. ศาสนาแนวเทวนิยม
ศูนย์กลางของการเผยแสดง คือ ความเป็นจริงสูงสุดที่เปิดเผยตนเอง (เผยความจริง) แก่ศาสดา บทบาทของศาสดาคือ ถ่ายทอดอย่างซื่อสัตย์ต่อความจริงที่ได้รับมา ด้วยเหตุนี้ ศาสนาแนวเทวนิยม จึงเน้นการเจริญรอยตามแบบศาสดา โดยเน้นการน้อมรับการเผยแสดง และการร่วมมือปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสดาด้วยความเชื่อศรัทธาต่อความเป็นจริงสูงสุด เพื่อบรรลุถึงความรอดพ้น
ข. ศาสนาแนว อเทวนิยม
เน้นบทบาทของศาสดา ในฐานะเป็น “บุคคลพิเศษ” เป็นผู้มีความเพียรพยายาม ทุ่มเทจนบรรลุ/เข้าใจความจริงสูงสุด หรือการค้นพบ “กฎธรรมชาติ” ด้วยเหตุนี้ ศาสนาแนวอเทวนิยม จึงเน้น “ความเพียรพยายามของบุคคล” เพื่อบรรลุความหลุดพ้นด้วยตัวเอง เน้นการออกแรงด้วยตนเอง ดังเช่นคำสอนของพุทธศาสนาที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
ดังนั้น บทบาท/ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นจริงสูงสุดกับศาสดา จึงมีลักษณะในทำนองที่ว่า ศาสดาเป็นผู้ได้รับการเลือกสรรเป็นพิเศษจากความเป็นจริงสูงสุด (ศาสนาแนวเทวนิยม) หรือ ศาสดาเป็นอัจฉริยะบุคคลที่เต็มด้วยความเพียรพยายาม (ศาสนาแนวอเทวนิยม) โดยมีแนวคิดว่าศาสดา (ทั้งแนวเทวนิยม และอเทวนิยม) ล้วนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความเป็นจริงสูงสุด ถึงขั้นบรรลุถึงความรอดพ้นแล้ว
1.1.2 ความเชื่อศรัทธาในศาสดา นำสู่ความเชื่อในสิ่งที่ศาสดาสอน
ก. การมีคุณลักษณะพิเศษของศาสดา
จาก “คุณลักษณะพิเศษ” เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปที่ศาสดาแต่ละท่านเป็น อาจเป็นในรูปของอิทธิฤทธิ์ การทำอัศจรรย์ต่าง ๆ ในแง่หนึ่งเป็นการยืนยันถึงการบรรลุถึงความเป็นจริงสูงสุด แนวคิด พฤติกรรม รวมถึงการแสดงออกภายนอกในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้ผู้คนสนใจต่อบุคลิกภาพดังกล่าว (เดือน คำดี, 2545) นำมาซึ่งความอยากติดต่อสัมพันธ์ เกิดความประทับใจ นำสู่ความเลื่อมใสศรัทธาและเชื่อมั่นว่าศาสดาต่าง ๆ ท่านเป็น "ของจริง” ที่มีประสบการณ์ตรงกับความเป็นจริงสูงสุด ทำให้มีการเจริญรอยตามศาสดาเพื่อบรรลุความรอดพ้นตามแบบของศาสดา ยึดศาสดาเป็นรูปแบบของการดำเนินชีวิตเพื่อบรรลุสู่ความรอดพ้นของชีวิต
ข. การเชื่อในสิ่งที่ศาสดาสอนเกี่ยวกับความหมายและวิถีสู่ความรอดพ้น
ศาสดาทุกศาสนา ต่างยืนยันว่าพวกท่านเผยแผ่ความจริงแท้ หรือความจริงสูงสุด ซึ่งดำเนินต่อเนื่องจากชีวิตในโลกปัจจุบัน การดำเนินชีวิตปัจจุบัน เป็นการเตรียมตัว หรือการเดินทางสู่ความรอดพ้น (Adriaan, 1999: 44) ที่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขของกาลเวลา สถานที่ หรือประวัติศาสตร์ ความเป็นจริงสูงสุดมีลักษณะเป็นนิรันดรภาพ และอุตรภาพที่อยู่เกินขอบเขตโลกแห่งผัสสะ แต่ในขณะเดียวกัน การดำเนินชีวิตในปัจจุบันส่งผลต่อการบรรลุถึงความเป็นจริงสูงสุด (นิรันดรภาพ/อุตรภาพ) อาศัยการดำเนินชีวิตตามรูปแบบที่ศาสดาสอน ชีวิตมนุษย์มีคุณค่าและความหมาย เนื่องจากชีวิตปัจจุบันเป็นการเดินทาง (การเตรียมตัว) เพื่อบรรลุถึงความรอดพ้นในชีวิตหน้า (ชีวิตนิรันดร/ความเป็นจริงสูงสุด) ด้วยวิธีการตามรูปแบบของที่ศาสดาแต่ละท่านสอน
ค. การเชื่อในผู้ที่ศาสดาแต่งตั้ง/สาวก รวมถึงแนวปฏิบัติที่ตามมา
จากประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของทุกศาสนา พบว่าในขณะที่ศาสดาประกาศเผยแผ่คำสอน พวกท่านมีสาวกใกล้ชิดที่ “อยู่กับท่าน” เพื่อปฏิบัติ รับใช้ตั้งแต่เริ่มต้นประกาศความจริง และวิธีการสู่ความรอดพ้นที่ท่านสอน สาวกใกล้ชิดเหล่านี้เป็นกลุ่มเล็ก ๆ มีจำนวนไม่มากนัก แต่พวกท่านมีประสบการณ์โดยตรง ในการอยู่ร่วมกับศาสดา หรือ “พระอาจารย์ของตน” เป็นสาวกกลุ่มเล็กๆ ที่ศาสดาถ่ายทอดความจริงแบบใกล้ชิดสู่ความรอดพ้น โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่ศาสดาจะละสังขาร (สิ้นพระชนม์/ปรินิพพาน/เสด็จสู่สวรรค์) ศาสดาได้มอบพินัยกรรมให้สาวกไปประกาศเผยแผ่หลักธรรมคำสอนเกี่ยวกับความจริงที่ศาสดานำเสนอ สาวกเหล่านี้จึงเป็นเหมือนกับทายาทหรือผู้ทำหน้าที่รักษา ถ่ายทอดและอธิบายหลักธรรมคำสอนและวิถีปฏิบัติของศาสดา (พระอาจารย์ของตน) รวมถึงการมีบทบาทสำคัญในการเตรียมการจัดระบบหลักธรรม คำสอน และวิถีปฏิบัติ เพื่อเป็นต้นแบบแก่ผู้ติดตาม และนำสู่การจัดระบบของแต่ละศาสนาในการพัฒนาเป็นองค์กร (สถาบัน) ในเวลาต่อมา
1.2 ธรรมชาติของความเชื่อศรัทธา
ความเชื่อศรัทธา หมายถึง การเชื่อและยึดมั่นในคำสอนที่เสนอความจริงของศาสนา นำมาปฏิบัติอย่างเทิดทูนและเสียสละ (กีรติ บุญเจือ. 2522) เพื่อบรรลุความรอดพ้นตามหลักธรรมของศาสนา โดยมีธรรมชาติของความเชื่อศรัทธา ได้แก่ (Tillich cited in William, 1973)
1.2.1 ความเชื่อเป็นความเชื่อมโยงกับสัจธรรม
ความเชื่อศรัทธา เป็นพลังภายในที่ขับเคลื่อนมนุษย์อย่างต่อเนื่องให้ก้าวสู่สัจธรรม แม้ว่ามนุษย์จะมีองค์ประกอบที่เหมือนสิ่งมีชีวิตทั่วไป มนุษย์มีกายภาพที่มีการเจริญเติบโต ต้องการปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาหล่อเลี้ยงและการเติบโตทางกายภาพ แต่มนุษย์ยังมีลักษณะพิเศษที่ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คือ จิต มนุษย์มีสติปัญญาที่รู้ความจริง มนุษย์แสวงหาคุณค่า ความหมายของความงามและการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม มีระเบียบปฏิบัติที่เป็นเงื่อนไขที่ช่วยให้มนุษย์สร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น และอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมอย่างเหมาะสม ยิ่งกว่านั้น ในฐานะที่มนุษย์เป็นจิต มนุษย์มีพลังชีวิตที่ค้นหาและมุ่งสู่สัจธรรมของชีวิต ที่แสดงออกมาในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์พยายามรู้ความจริง เบื้องหลังปรากฎการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติ เริ่มตั้งแต่แนวคิดแบบวิญญาณนิยม และค่อยๆ มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง จนพัฒนาสู่การจัดระบบและวิถีปฏิบัติของชีวิต ที่เชื่อมโยงกับเบื้องหลังปรากฎการณ์ต่างๆ นำสู่วิถีชีวิตที่มุ่งสู่ความรอดพ้นในรูปแบบของศาสนา
มนุษย์สำนึกตนว่ามีหลักการบางอย่างที่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขของปรากฎการณ์ แต่มนุษย์ยังไม่อาจเข้าใจได้ จึงใช้ “สัญลักษณ์” ที่แสดงถึงความสำนึกตนดังกล่าว มนุษย์สำนึกถึงความยิ่งใหญ่ ที่มีลักษณะเป็นความสมบูรณ์เที่ยงแท้ ที่มนุษย์สามารถมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงได้ อาศัยความเชื่อศรัทธาภายในจิตใจ และค่อยๆ ใช้สติปัญญาทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
1.2.2 ความเชื่อเป็นหลักและศูนย์กลางการดำเนินชีวิต
จากการที่ความเชื่อศรัทธา เป็นความเกี่ยวเนื่อง เชื่อมโยงกับสัจธรรม สิ่งที่ตามมา คือ ความเชื่อศรัทธา เป็นหลักพื้นฐานและศูนย์กลางการดำเนินชีวิตของบุคคล ความเชื่อศรัทธาไม่ได้มีพื้นฐานมาจากอารมณ์ (Emotion) ความรู้สึก (Feeling) หรือจิตใต้สำนึก (Unconscious) ของมนุษย์ แต่มีลักษณะเป็น “การเข้าญาณ” (Ecstatic) ซึ่งเป็นภาวะที่อยู่ในภวังค์ที่เป็น “อุตรภาพ” ที่อยู่เกินขอบเขตของจิตใต้สำนึกที่ไม่มีรากฐานบนเหตุผล และอยู่เกินบริบทโครงสร้างของความสำนึกที่มีเหตุผลของมนุษย์ ความเชื่อศรัทธาจึงเป็นภาวะที่อยู่ระหว่างบทบาทของสติปัญญากับอารมณ์และน้ำใจอิสระที่เสริมสร้างบุคลิกภาพของมนุษย์ เป็นพลังผลักดันให้มนุษย์อุทิศตนสู่ความจริงของศาสนาจนมีประสบการณ์ตรง จนนำสู่วิถีชีวิตที่ “มอบกาย ถวายชีวิต” ให้กับการมุ่งสู่ความรอดพ้นตามหลักธรรมของศาสนา
ความเชื่อศรัทธาจึงเป็นภาวะที่มนุษย์สำนึกตนต่อความจริง ยอมรับว่าความจริงยิ่งใหญ่กว่าตัวมนุษย์ จึงเปิดตนเองสู่ความจริงและสำนึกในคุณค่าของการประพฤติตามหลักการเพื่อมุ่งสู่ความจริง เป็นการเปิดตัวเองสู่ความจริง ด้วยความสำนึก รู้ตัว อันเป็นพื้นฐานสู่การใช้เสรีภาพของมนุษย์ที่จะเลือกกระทำด้วยใจอิสระ ที่ตั้งใจจะดำเนินชีวิตตามสิ่งที่เชื่อ (An independent act of “will to believe”) ในความจริงที่ตนพบและเชื่อว่าเป็นสัจธรรม เป็นหลักและศูนย์กลางการดำเนินชีวิตที่นำสู่การเสริมสร้างบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล
1.2.3 บ่อเกิดของความเชื่อ
จากการพิจารณาว่าความเชื่อศรัทธา เป็นการเชื่อมโยงกับสัจธรรม และเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของบุคคล ทำให้มนุษย์มีการกระทำที่ไม่มีเงื่อนไข เพื่อการสร้างความสัมพันธ์กับสัจธรรมที่ช่วยทำให้มนุษย์บรรลุสู่ความรอดพ้น สิ่งที่เราจะพิจารณาต่อไป คือ อะไรเป็นบ่อเกิดของความเชื่อมโยงชีวิตมนุษย์กับสัจธรรม และหลักการดำเนินชีวิตของบุคคลที่ดำเนินตามสัจธรรมนั้น
บ่อเกิดของความเชื่อศรัทธา คือ ความสำนึกต่อ “ความสัมพันธ์” (The concern) ระหว่างมนุษย์กับความเป็นจริงสูงสุด (ความรอดพ้น) ซึ่งมาจากการตระหนักรู้ของมนุษย์ว่า แม้ว่ามนุษย์กำลังดำเนินชีวิตในสภาพปัจจุบัน (Actuality) ที่เต็มด้วยความจำกัดและเงื่อนไขของชีวิตในหลายรูปแบบ แต่มนุษย์สำนึกว่าตนมีศักยภาพภายใน (Potentiality) ที่ไม่ได้จำกัดแต่เพียงเงื่อนไขของชีวิต มนุษย์มีศักยภาพที่จะก้าวพ้นขอบเขตความจำกัดต่างๆ สู่ความรอดพ้นซึ่งมีลักษณะเป็นอุตรภาพได้
1.2.4 ความเชื่อศรัทธาเป็นพลังภายในที่นำสู่ความรอดพ้น
ความสำนึกของมนุษย์ต่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับความเป็นจริงสูงสุด (ความรอดพ้น) นำสู่ความเชื่อศรัทธาต่อศักยภาพภายในของมนุษย์ ว่าสามารถบรรลุถึงความเป็นจริงสูงสุดได้ ด้วยการน้อมรับวิถีทางตามความจริงที่ศาสนาสอน ทั้งการน้อมรับพระพรที่ช่วยให้บรรลุความรอดพ้น (ศาสนาแนวเทวนิยม) และการบรรลุถึงความรอดพ้น ด้วยศักยภาพและความพากเพียรของมนุษย์ (ศาสนาแนวอเทวนิยม)
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า สิ่งที่ศาสนาย้ำเสมอ คือ การระมัดระวังความเชื่อศรัทธาที่ขาดสติ ขาดความรู้เข้าใจอันนำสู่อวิชชา หรือความหลงผิด รวมทั้งความเชื่อศรัทธาซึ่งมีพื้นฐานบนความกลัว ความกังวลใจ และการนำความจริงของศาสนามาตอบปัญหาที่มนุษย์ยังตอบไม่ได้ นำสู่ความเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับความรอดพ้น และปัญหาเรื่องการตีความหมายและการปฏิบัติตนของผู้นับถือศาสนาแบบสุดโต่ง จนบิดเบือนคำสอนของศาสนาจากหลักธรรมที่ศาสดานำเสนอ
1.3 ปัญหาเรื่องความเชื่อศรัทธาในศาสนา
1.3.1 ปัญหาเรื่องความเชื่อศรัทธาต่อศาสนา มีพื้นฐานจากธรรมชาติของมนุษย์ที่มุ่งสู่ความรอดพ้นตามหลักธรรมของศาสนา
เนื่องจากความจริงในศาสนาเป็นความจริงที่ประจักษ์แจ้งด้วยจิตใจ อาศัยความเชื่อศรัทธาเป็นพื้นฐาน ทำให้เป็นข่าวดีที่เปลี่ยนแปลงชีวิต เป็นวิถีชีวิตสู่ความรอดพ้นตามความจริงในศาสนา จึงมีส่วนที่เกี่ยวพันกัน คือ ธรรมชาติมนุษย์ที่เป็นทั้งกายและจิต มนุษย์มีทั้งสัญชาตญาณและสติปัญญา คำสอนตามหลักธรรมของศาสนา ได้แก่ คำสอนของศาสดาและการตีความ/อธิบายความโดยสาวกและผู้สืบทอด เพื่อมุ่งสู่ความจริงสูงสุดตามหลักธรรมของแต่ละศาสนา จึงมีความเชื่อมโยงกัน นำเสนอเป็นโครงสร้างดังนี้
- กาย
- สัญชาติญาณ - ธรรมล้ำลึก
มนุษย์ คำสอนตามหลักศาสนา
- จิต - คำสอนของศาสดา
- สติปัญญา - การตีความ/อธิบายความ
- จิตวิญญาณ โดยสาวกและผู้สืบทอด
- ความรอดพ้น
การนำคำสอนไปปฏิบัติ ความเป็นจริงสูงสุด
- การนำไปปฏิบัติของ
แต่ละบุคคลในแต่ละสภาพชีวิต
(กรณีชีวิต)
จากโครงสร้างดังกล่าวทำให้เราเห็นถึงปัญหา (ขีดจำกัด) การรับรู้ของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อศรัทธาต่อหลักธรรมคำสอนของศาสนา โดยแยกเป็นประเด็นที่สำคัญดังนี้
ก. ปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติมนุษย์
ธรรมชาติมนุษย์ที่เป็นทั้งร่างกายและจิต จึงมีทั้งส่วนที่เป็นสัญชาตญาณและสติปัญญา/จิตวิญญาณ ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นทัศนคติ อารมณ์ ความรู้สึก ฯลฯ ล้วนเป็นองค์ประกอบภายในมนุษย์แต่ละคนในการกำหนดท่าทีต่อศาสนา มนุษย์แต่ละคนมีท่าทีต่อศาสนาอย่างไร สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของศาสดาหรือไม่
ข. ปัญหาเกี่ยวกับความจริงในศาสนา
ประการต่อมาที่เราควรพิจารณาด้วยเหมือนกัน คือ ความจริงในศาสนาที่ศาสดาบรรลุถึงและพยายามถ่ายทอดแก่ผู้เลื่อมใสศรัทธามีลักษณะเป็น “ธรรมล้ำลึก” (Mystery) เนื่องจาก อย่าลืมว่า “ศาสดา” เป็นผู้บรรลุถึงความเป็นจริงสูงสุด (ความรอดพ้น/ความหลุดพ้น) แล้ว แต่สำหรับมนุษย์ที่เลื่อมใสและดำเนินตามสิ่งที่ศาสดาสอนยังไม่บรรลุถึงสัจธรรมที่ศาสดาสอน ความจริงที่ศาสดาบรรลุถึงและสอนจึงมีลักษณะเป็น “ธรรมล้ำลึก” (Mystery) หรือความลึกลับที่ไม่อาจเข้าใจหรือเข้าถึงได้ทั้งหมดแบบที่ศาสดาบรรลุถึง
ค. ปัญหาเกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนในศาสนากับบุคคล
หลักธรรมคำสอนที่ศาสดานำเสนอมีลักษณะเป็น “อุดมคติ” คำสอนของศาสดามีลักษณะเป็นหลักการดำเนินชีวิตเพื่อบรรลุความรอดพ้น ในขณะที่มนุษย์แต่ละคนเป็น “กรณีชีวิต” ที่แต่ละคนอยู่ในสภาวการณ์ที่แตกต่างกันออกไปตามสภาพของแต่ละบุคคล/สังคม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการอธิบายและตีความหลักธรรมคำสอนของศาสดา อาศัยสาวกและผู้สืบทอด อาศัยการสอนและการดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของศาสดา (พระอาจารย์ของตน)
จากประเด็นปัญหาที่นำเสนอมาข้างต้นเป็นแนวทางที่ส่งผลให้เราวิเคราะห์ได้ว่า มนุษย์แต่ละคนมีท่าทีต่อความจริงในศาสนาในแบบสุดโต่ง มีท่าทีของการประนีประนอมต่อธรรมชาติของตนเกินไปหรือไม่ หรือมีท่าทีของการเคร่งครัดเกินเหตุหรือเปล่า ในการปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของศาสนา ท่าทีของผู้เลื่อมใสในศาสนานั้นๆ เป็นแบบเดียวกับที่ศาสดาสอนหรือเปล่า และยิ่งกว่านั้น การตีความ การอธิบาย รวมถึงการดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของศาสดาโดยผ่านทางสาวกและผู้สืบทอด มีลักษณะในทำนองที่ว่า “ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก แต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา เขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย เขาสั่งสอนบัญญัติของมนุษย์เหมือนกับเป็นสัจธรรม ท่านทั้งหลายละเลยบทบัญญัติของพระเจ้า กลับไปถือขนบธรรมเนียมของมนุษย์... ท่านช่างชำนาญในการละเลยบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อถือขนบธรรมเนียมของท่านเอง ท่านใช้ขนบธรรมเนียมที่ท่านสอนต่อๆ กันมา ทำให้พระวาจาของพระเจ้าเป็นโมฆะ” (มก 7:1-13) หรือไม่ เป็นต้น
1.3.2 แนวโน้มบางประการต่อปัญหาเรื่องความเชื่อศรัทธาต่อศาสนา
ความรอดพ้นเป็นสาระและเป้าหมายของหลักธรรมคำสอนของศาสนา แต่ความรอดพ้นไม่ใช่สูตรสำเร็จรูปที่มาถึงมนุษย์แบบอัตโนมัติ มนุษย์แต่ละคนต้องร่วมมือหรือออกแรงเพื่อบรรลุถึงความรอดพ้นตามวิธีการที่ศาสนาสอน ความรอดพ้นจึงเป็นเรื่องเฉพาะที่แต่ละบุคคลต้องรับผิดชอบ ทำแทนกันไม่ได้ แต่ละบุคคลต้องตอบรับหรือออกแรง บำเพ็ญตนเพื่อมุ่งสู่ความรอดพ้นในสถานการณ์ บริบทชีวิตของตน
ก. ตัวอย่างปัญหาที่ท้าทายความเชื่อศรัทธาต่อศาสนา
การเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ในชีวิตประจำวัน ส่งผลกระทบต่อการท้าทายปัญหาเรื่องความเชื่อศรัทธาต่อศาสนา ซึ่งแบ่งได้เป็นสองประเภทกว้างๆ ได้แก่ การเผชิญหน้ากับปัญหาที่ทุกคนต้องประสบร่วมกัน เป็นชะตากรรมร่วมกันของมนุษยชาติ และปัญหาเฉพาะบุคคลที่สืบเนื่องจากการที่แต่ละคน นำหลักธรรมคำสอนของศาสนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตของแต่ละคน กล่าวคือ
1) การเผชิญหน้ากับปัญหาที่ทุกคนต้องประสบร่วมกัน : ปัญหาเรื่องความทุกข์ในชีวิต
ความทุกข์เป็นประสบการณ์ของมนุษย์ ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงความทุกข์ได้ วันใดวันหนึ่งทุกคนก็ต้องพบเหตุการณ์ยุ่งยาก เช่นโรคร้าย อุบัติเหตุ หรือความตาย เป็นต้น เป็นประสบการณ์ที่ทำให้มนุษย์อยู่ในภาวะเดือดร้อนทางกาย หรือทางจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตนเองประสบด้วยตนเองหรือบุคคลใกล้ชิด มนุษย์เผชิญหน้ากับปัญหาความทุกข์ในรูปแบบต่างๆ เราสงสัยว่าทำไมต้องทุกข์ทรมานอย่างนี้ และส่วนใหญ่เราไม่มีคำตอบ อาจจะมีบางกรณีของความทุกข์ที่อธิบายได้ ซึ่งจะช่วยให้มนุษย์ยอมรับประสบการณ์ความทุกข์ได้ แต่หลายครั้งไม่มีทางอธิบายได้เลย เช่น ทำไมคนนี้ที่ยังหนุ่มอยู่ และเป็นคนที่มีนิสัยดี เรียบร้อย ต้องเป็นมะเร็งและตายเร็ว หรือว่าทำไมต้องมีแผ่นดินไหวที่จะทำให้คนเสียชีวิตเป็นร้อยเป็นพัน ประสบการณ์แบบนี้ทำให้มนุษย์เสียกำลังใจ หรือเสียความไว้ใจในความดีของชีวิต และความเชื่อศรัทธาต่อความจริงของศาสนา (ยัง ดังโตแนล, 2551)
2) การเผชิญหน้ากับปัญหาที่แต่ละคนประสบในบริบทของแต่ละบุคคล : การนำหลักธรรมคำสอนของศาสนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิต
การบรรลุถึงความรอดพ้น ไม่ได้เป็นผลมาจากการอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร หลักธรรมคำสอนของศาสนาสอนว่าทุกคนต้องออกแรง พากเพียรต่อการดำเนินชีวิตตามวิถีทางที่แต่ละศาสนาสอน โดยอาศัยความเชื่อศรัทธาเป็นพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ชีวิตของแต่ละคนที่นำคำสอนของศาสนาไปปฏิบัติในชีวิต ต่างเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกับบริบทชีวิตของแต่ละคนที่แตกต่างกัน หลักธรรมคำสอนของศาสนาจึงไม่ได้มีลักษณะแบบสูตรคณิตศาสตร์ ที่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกกรณีในแบบสูตรสำเร็จรูป แต่ต้องขึ้นกับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลที่ต้องใช้สติปัญญาในการนำหลักธรรมคำสอนนั้นๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
การที่ศาสนาให้ความสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ระหว่างมนุษย์กับความจริงของศาสนา ที่แต่ละคนต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จึงส่งผลที่ตามมา คือ แต่ละบุคคลมีความคิด เข้าใจ หรือทัศนคติต่อความจริงของศาสนาอย่างไร มีความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนแค่ไหน ระดับไหน ยึดติดแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกของศาสนาในฐานะเป็นสถาบัน (กฎเกณฑ์ โครงสร้าง) จนละเลยต่อการหล่อเลี้ยงตนเองในความเชื่อศรัทธาส่วนบุคคลต่อความจริงของศาสนามากน้อยเพียงไร นอกจากนั้น ผลจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์ที่ตอบปัญหาเกี่ยวกับความจริงและการอำนวยความสะดวกต่อการดำเนินชีวิตทางกายภาพของมนุษย์ ที่มนุษย์แต่ละคนต่างเห็นถึงพัฒนาการอย่างต่อเนื่องของวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของแต่ละคน ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อปัญหาเรื่องความเชื่อศรัทธาต่อศาสนา มีแนวโน้มที่จะเชื่อศรัทธา เฉพาะสิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น
ดังนั้น การที่มนุษย์เผชิญหน้ากับปัญหาที่แก้ไม่ตก ที่ทุกคนต้องประสบชะตากรรมร่วมกัน โดยเฉพาะการเผชิญกับความทุกข์ และการนำหลักธรรมคำสอนของศาสนาไปประยุกต์ใช้ในบริบทชีวิตของแต่ละบุคคล รวมทั้งความเจริญก้าวหน้าในการพัฒนาธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต อาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงปัญหาที่ท้าทายความเชื่อศรัทธาของมนุษย์ต่อความจริงของศาสนา นำสู่การละเลยหรือปฏิเสธความเชื่อศรัทธาในความจริงที่ศาสนาสอนก็เป็นได้
2. เหตุผลกับความเชื่อศรัทธาต่อความจริงของศาสนา
ในฐานะที่มนุษย์เป็นกายและจิต มีสัญชาตญาณและสติปัญญา มนุษย์ย่อมมีการตระหนักและตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณค่าและความหมายของความจริงในศาสนาที่มีความเชื่อศรัทธาเป็นพื้นฐาน ในขณะเดียวกัน ความเชื่อศรัทธาต่อความจริงในศาสนาจำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบอาศัยสติปัญญา การใช้เหตุผลของมนุษย์เพื่อช่วยทำให้ความเชื่อศรัทธาสอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนของศาสดาอย่างแท้จริง ดังในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า “อย่าเชื่อด้วยการฟังกันต่อๆ มา อย่าเชื่อเพราะอาศัยเหตุเป็นประเพณี อย่าเชื่อข่าวเล่าลือ อย่าเชื่อเพราะเป็นตำรา อย่าเชื่อเพราระการนึกเดาเอาเอง อย่าเชื่อโดยการคาดคะเน อย่าเชื่อโดยการคิดนึกตรึกตรองตามอาการ อย่าเชื่อเพราะตรงกับความเห็นของตน อย่าเชื่อเพราะผู้พูดเป็นบุคคลที่น่าเคารพนับถือ อย่าเชื่อเพราะผู้นี้เป็นครูอาจารย์ของเรา”(พระไตรปิฎกฉบับหลวง อ้างถึงใน ทวี ผลสมภพ, 2530 หน้า 150)
2.1 มนุษย์กับการใช้สติปัญญา คิดไตร่ตรองเกี่ยวกับความจริงของศาสนา
มนุษย์ใช้สติปัญญา แสวงหาความจริงในสิ่งที่เป็นประสบการณ์ธรรมดาของชีวิตมนุษย์วิเคราะห์สิ่งที่ปรากฏเพื่อจะหาความหมายและคุณค่าของความเป็นคน โดยเฉพาะในโลกปัจจุบันดังนั้นปรัชญาเริ่มจากคำถามหรือข้อสงสัยต่างๆ ที่ติดจิตใจของมนุษย์ทุกคน ชีวิตของเรามีคุณค่าแค่ไหน เกิดมาแล้วทำไมต้องตาย ทำไมต้องมีความทุกข์ทรมาน ความสุขแท้คืออะไร ทำไมต้องมีชีวิตอยู่ในสังคมและต้องสัมพันธ์กับคนอื่นๆ (ยัง ดังโตแนล, 2551)
2.1.1 การใช้เหตุผลมาช่วยอธิบายความเชื่อศรัทธาในศาสนา
ก. แนวคิดของปรัชญาตะวันตกที่อธิบายความหมายความเชื่อศรัทธาในศาสนา ด้วยการวิเคราะห์ธรรมชาติ คุณค่า ศักดิ์ศรีของมนุษย์ และการดำเนินชีวิตในประวัติศาสตร์
1) ตัวอย่างนักปรัชญาตะวันตกยุคกลาง กับการอธิบายความจริงของศาสนาด้วยการวิเคราะห์ธรรมชาติของมนุษย์
เราเห็นตัวอย่างชัดเจนจากนักปรัชญาตะวันตกยุคกลาง (ค.ศ. 100 – 1500) ที่อธิบายความจริงของคริสต์ศาสนาอาศัยปรัชญากรีก ในเรื่องนี้ ยัง ดังโตแนล (2551) ได้วิเคราะห์ว่า นักปรัชญาทุกยุคทุกสมัยได้พยายามแสวงหาความจริงอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์และการเรียนทัศนคติหรือโลกทัศน์ของเขาช่วยให้เข้าใจธรรมชาติและคุณลักษณะของมนุษย์ ได้แก่ นักบุญเอากุสติน (ค.ศ. 354 – 430) และนักบุญโทมัส อาไควนัส (ค.ศ. 1224 – 1274) เป็นต้น ที่มีแนวคิดที่สอดคล้องกับความเชื่อศรัทธา จุดประสงค์ของท่านทั้งสอง คือ การอธิบายความเชื่อ แต่มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญในทัศนคติและวิธีการของพวกท่าน คือการตระหนักถึงคุณค่าของปรัชญากรีก ของเพลโตและอาริสโตเติล และสามารถใช้แนวปรัชญานี้เพื่ออธิบายความเชื่อของคริสตชน ตั้งแต่สมัยของนักบุญโทมัส เป็นต้นมา มีนักปรัชญาหลายๆ ท่านที่ได้พัฒนาความคิดเกี่ยวกับปัญหาพื้นฐานของชีวิตมนุษย์ และนักบุญโทมัสจึงเป็นตัวอย่างสำหรับเราในสมัยปัจจุบันไม่ใช่เพื่อจะซ้ำคำสอนของท่าน แต่เพื่อเราจะใช้แนวคิดของนักปรัชญาของสมัยใหม่หรือสมัยปัจจุบันให้เป็นประโยชน์ในการเข้าใจความเชื่อ (เทววิทยา)
2) ตัวอย่างนักปรัชญาตะวันตกยุคปัจจุบัน กับการอธิบายความจริงของศาสนาด้วยการพิจารณาพัฒนาการของประวัติศาสตร์
นอกจากนักปรัชญาตะวันตกยุคกลางแล้ว ยังมีนักปรัชญาตะวันตกยุคปัจจุบัน (ค.ศ. 1900 เป็นต้นมา) ที่ได้นำแนวความคิดสมัยใหม่มาอธิบายความหมายของชีวิตมนุษย์ และความคิดต่างๆ นี้ ได้มีอิทธิพลมากพอสมควรในวัฒนธรรม และการปฏิบัติของสังคมทั่วไป เช่น เฟรดริช เฮเกล (ค.ศ. 1770 – 1831) และคาร์ล มากซ์ (ค.ศ. 1818 – 1883) ได้ศึกษาความหมายของสังคมและประวัติศาสตร์ การดำเนินชีวิตอยู่ด้วยกันและความก้าวหน้าของประวัติศาสตร์ ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดมาโดยบังเอิญ หรือถูกกำหนดล่วงหน้า แต่เป็นเหมือนกับการเดินทางที่มุ่งไปถึงเป้าหมายที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งเราพยายามจะไปให้ถึง การเข้าใจประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เป็นแต่เรื่องของอดีตแต่เป็นกระบวนการที่พัฒนาและก้าวหน้า ได้มีความสำคัญมากในการเข้าใจทั้งชีวิตสังคมและการเมืองจนถึงปัจจุบันนี้
3) ตัวอย่างนักปรัชญาตะวันตกยุคปัจจุบัน ที่พิจารณาความจริงของศาสนาด้วยการพิจารณาคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
นักปรัชญาแนวอัตถิภาวนิยม (Existentialism) เช่น เซอร์เร็น คีร์เคกอร์ด (ค.ศ. 1813 – 1855) ฌอง ปอล ซาร์ตร (ค.ศ. 1905 – 1980) กาเบรียล มาร์เซล (ค.ศ. 1889 – 1973) เริ่มต้นความคิดด้วยการวิเคราะห์ อธิบายว่าธรรมชาติมนุษย์ ได้แก่ เสรีภาพ ความรับผิดชอบและการตัดสินใจด้วยตนเอง เป็นคุณลักษณะพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ แนวปรัชญาของกลุ่มนี้เป็นรากฐานของประชาธิปไตย และการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากในสังคมปัจจุบัน ในอีกแง่หนึ่ง ปรัชญาอัตถิภาวนิยม เมื่อเน้นการตัดสินใจด้วยเหตุผลของตนเอง ช่วยให้เห็นบทบาทสำคัญของมโนธรรมในด้านจริยศาสตร์
นอกจากนั้น ยังมีอีกแนวหนึ่ง ที่เป็นการต่อเนื่องจากปรัชญาแนวอัตถิภาวนิยม คือ ปรัชญาบุคคลนิยม (Personalism) ของอิมมานูเอล มูเนียร์ (ค.ศ. 1905 – 1950) อิมมานูเอล เลวินัส (ค.ศ. 1906 – 1995) หรือ พอล ริเกอร์ (ค.ศ. 1913 - 2005) นักปรัชญากลุ่มนี้เน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในสังคม โดยตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของคนอื่น เปิดจิตใจต้อนรับเพื่อนมนุษย์ด้วยความเคารพ เราสังเกตได้ว่าแนวปรัชญาบุคคลนิยมอยู่ในเบื้องหลังของคำสอนของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกในเรื่องสังคมและสันติภาพ
ข. แนวคิดของปรัชญาตะวันออกที่อธิบายความหมายของความเชื่อศรัทธาในศาสนา ด้วยการวิเคราะห์ปัญหาเรื่องความทุกข์และการดำเนินชีวิตอย่างเป็นระบบ
แนวคิดจากปรัชญาตะวันออกก็ยังสามารถนำเราไปสู่ความจริงของศาสนา เช่นเดียวกัน เช่น คำสอนของพระพุทธเจ้า ช่วยให้เราเข้าใจถึงสาเหตุของความทุกข์และวิธีการพ้นความทุกข์ ด้วยการมองดูสิ่งต่างๆ ของโลกว่าเป็นอนิจจัง เป็นสัจธรรมที่มนุษย์ควรสำนึก โดยเฉพาะในการดำเนินชีวิตในโลกของเรา เมื่อทุกคนมัวเมาอยู่กับทรัพย์สมบัติ น่าจะเป็นพื้นฐานด้านศีลธรรมเพื่อจะแก้ปัญหาหลายประการของสังคมปัจจุบัน
นอกจากนั้น ปรัชญาของขงจื๊อ ยังแสดงถึงความจริงอีกด้านหนึ่ง คือ ระบบจักรวาลและสังคม ที่มีความกลมกลืนทำให้ทุกคนเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวในสังคมทีมีระเบียบ ที่สมาชิกทุกคนมีตำแหน่งและหน้าที่ของตน แนวปรัชญาของขงจื๊อนี้เป็นคุณลักษณะสำคัญในวัฒนธรรมของชาวไทยและชาวเอเชียตะวันออกทั่วไป
2.1.2 เหตุผล (ปรัชญา) ศึกษาความหมายของความเชื่อศรัทธาในฐานะเป็นความจริงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์
ก. ปรัชญา (เหตุผล) ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือของความเชื่อศรัทธา
แม้ว่าในประวัติศาสตร์ของการศึกษาปรัชญา อาจมีบางช่วงที่มีการนำปรัชญามาใช้อธิบายความเชื่อศรัทธา และความจริงของศาสนา และอาจมีความเข้าใจของนักปรัชญา (โดยเฉพาะนักปรัชญาตะวันตกยุคกลาง) บางท่านที่กล่าวว่า “ปรัชญา เป็นสาวใช้ของเทววิทยา” จนนำสู่การกำหนดกรอบเนื้อหาของปรัชญาเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความจริงของศาสนาเท่านั้น นี่เป็นตัวอย่างบางประการที่แสดงว่าการเรียนปรัชญามีบทบาทสำคัญเพื่อจะเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ยังมีความจริงอีกหลายๆ ประการที่น่าสนใจ และอยู่ในเนื้อหาของปรัชญาด้วย เพราะฉะนั้น ปรัชญาจะเป็นเพียงเครื่องมือ หรือสาวใช้เพื่อจะเรียนเทววิทยาไม่ได้ ปรัชญาเป็นการแสวงหาความจริงเกี่ยวกับสภาพชีวิตมนุษย์ในหลายแง่หลายมุม เป็นวิชาสำคัญเพื่อเข้าใจและวิเคราะห์สภาพและการพัฒนาการของสังคม
ข. ปรัชญา (เหตุผล) ช่วยวิเคราะห์และอธิบายคุณค่าของความจริงของศาสนา
ในท่ามกลางค่านิยมหลากหลายที่เกิดขึ้นในสังคม อันเป็นผลจากแนวคิดของปรัชญาบางลัทธิ และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ที่มีพื้นฐานบนการส่งเสริมชีวิตเพียงแค่ระดับวัตถุ ความสะดวกสบายทางกายภาพ ส่งผลให้เกิดค่านิยมและวิถีชีวิตของคนกำลังเปลี่ยนไป ในเชิงลดคุณค่าความเป็นมนุษย์เพียงระดับวัตถุ สิ่งของ ซึ่งมีแนวโน้มที่ลดทอนคุณค่าความจริง เพียงแค่ระดับประสาทสัมผัส ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงกับคุณค่าความจริงของศาสนา ที่มุ่งสู่ความรอดพ้น อันเป็นสัจธรรมที่เกินขอบเขตโลกแห่งประสาทสัมผัส ความรู้ด้านปรัชญา โดยเฉพาะความเข้าใจถึงธรรมชาติศักดิ์ศรีและเป้าหมายแท้ของมนุษย์ แสวงหาคุณค่าที่เหมาะสมกับศักดิ์ศรีของมนุษย์ เสนอวิธีการแก้ปัญหาของบุคคล โดยเน้นถึงความสัมพันธ์และความเคารพต่อกันและกัน โดยเฉพาะแนวคิดของปรัชญาแนวบุคคลนิยม ที่เสนอแนวคิดว่าการสอนของศาสนาไม่ได้เป็นเพียงแต่กฎหมายที่ต้องถือตาม แต่เป็นหนทางการดำเนินชีวิตที่อยู่บนพื้นฐานของธรรมชาติมนุษย์ และช่วยให้พัฒนาคุณลักษณะของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น
ดังนั้น การที่หลายคนชอบอ้างคำพูดว่า “ปรัชญาเป็นสาวใช้ของเทววิทยา” ถ้าจะเข้าใจในความหมายว่า ความรู้ด้านปรัชญาเป็นประโยชน์เพื่อจะเข้าใจความเชื่อศรัทธาก็ถูกต้อง แต่ถ้าจะเข้าใจแต่เพียงว่า ปรัชญาเป็นเพียงเครื่องมือที่ต้องใช้ ในการเข้าใจความเชื่อศรัทธาของศาสนา คงไม่มีนักปรัชญาสักคนเดียวที่จะเห็นด้วยกับประโยคนี้ ปรัชญาเป็นวิชาที่มีวิธีและจุดประสงค์ของมันเอง และมีคุณค่าของมันด้วย ไม่เหมาะสมที่จะเรียนปรัชญาเพื่อจะเป็นเพียงแต่ตรรกวิทยา คือวิธีการและศัพท์ที่ต้องใช้ในเทววิทยา ปรัชญามีเป้าหมายที่จะนำความรู้ความเข้าใจและทัศนคติเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์และความเป็นจริงของโลก (ยัง ดังโตแนล, 2551)
2.2 มุมมองของปรัชญา กับการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผล กับความเชื่อศรัทธาในศาสนา
ร่องรอยในประวัติศาสตร์แสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างแนวคิดของนักปรัชญาที่พยายามอธิบายปัญหาเรื่องความจริง เราจะเห็นได้ว่าทั้งปรัชญาที่ใช้เหตุผลเพื่อเข้าใจความจริง และเทววิทยา ที่ใช้ความเชื่อศรัทธาเป็นพื้นฐานเพื่อเข้าใจความจริงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความหมายของมนุษย์ ปัญหาเกี่ยวกับความจริงของศาสนาซึ่งเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกับชีวิตมนุษย์ แม้ว่าจะเป็นโจทย์โดยตรงของศาสนา แต่ในขณะเดียวกัน ในฐานะเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ จึงเป็นโจทย์ที่ปรัชญาศึกษาและพยายามหาคำตอบด้วยเช่นกัน แต่ในวิธีการที่ต่างกัน
2.2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลกับความเชื่อศรัทธา
การทำความเข้าใจและอธิบายความจริงของปรัชญาและศาสนามักดำเนินควบคู่กันไปเสมอ เนื่องจากต่างสนใจศึกษาปัญหาเรื่องเดียวกัน แต่ในบริบทที่ต่างกัน กล่าวคือ ศาสนาเน้นศึกษาและเข้าใจความจริงที่มีลักษณะเป็นอุตรภาพ ที่มนุษย์เชื่อศรัทธา ศาสนาจึงยืนยันหลักการว่าความจริงดังกล่าวนี้ มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด จึงต้องอาศัยความเชื่อศรัทธาเป็นพื้นฐาน ในขณะที่ปรัชญาเน้นการมีประสบการณ์หรือการคิดด้วยหลักเหตุผล ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางการเข้าใจความจริง ด้วยสติปัญญาที่พยายามใช้เหตุผลเข้าใจความจริง
ก. ลักษณะเด่นของศาสนาและปรัชญา
ปรัชญาและศาสนามีทั้งลักษณะที่เหมือนและแตกต่างกันออกไป กล่าวคือ
1) ลักษณะที่เหมือนกัน คือ ทั้งปรัชญาและศาสนา ต่างศึกษาและอธิบายความจริงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์และความหมายของการมีอยู่ของมนุษย์
2) ลักษณะที่ต่างกัน คือ วิธีการแสวงหาและอธิบายความจริง ปรัชญามุ่งที่การศึกษาความรู้ของมนุษย์ ว่าอะไรเป็นลักษณะความรู้ของมนุษย์ (เมื่อเรากล่าวว่า เรารู้ถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันหมายความว่าอะไร? ความรู้ของมนุษย์สามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่?) ในขณะที่ศาสนามุ่งไปที่พื้นฐานของความจริง ที่ให้ความหมายแก่ชีวิตมนุษย์และเป็นพื้นฐานสู่การมีพฤติกรรมต่างๆ ของชีวิต
ข. วิธีการของศาสนาและปรัชญาในการอธิบายความจริง
จากการวิเคราะห์ลักษณะเด่นของศาสนาและปรัชญา นำสู่การวิเคราะห์วิธีการอธิบายความจริงอันเป็นลักษณะเฉพาะของศาสตร์ทั้งสองได้ว่า
1) ศาสนา เริ่มต้นจากความเป็นจริงที่สมบูรณ์สูงสุด (พระเจ้า/ ธรรมะ) นำมาเป็นหลักการเพื่ออธิบายความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของมนุษย์ และความจริงของศาสนาจะนำสู่การนำไปปฏิบัติของชีวิต ตามหลักศีลธรรมและพิธีกรรม ด้วยเหตุนี้ ศาสนาจึงใช้ความเชื่อศรัทธาต่อความเป็นจริงสูงสุดที่มีลักษณะเป็นอุตรภาพ เป็นพื้นฐานของการอธิบายความจริงในศาสนา
2) ปรัชญาใช้สติปัญญาเพื่อคิดหาเหตุผลที่เป็นไปได้ในการอธิบายความจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ โดยใช้หลักตรรกวิทยามาเป็นเครื่องมือเสนอความจริง ด้วยเหตุนี้ ปรัชญาจึงเน้นศักยภาพของมนุษย์ที่จะอธิบายความจริง ตามหลักเหตุ-ผล
ค. สัมพันธภาพระหว่างเหตุผลของปรัชญากับความเชื่อศรัทธาของศาสนา
จากการวิเคราะห์ลักษณะเด่นและวิธีการของปรัชญาและศาสนา ทำให้เราเห็นทั้งความเหมือนและความต่าง รวมถึงจุดเชื่อมโยงระหว่างศาสตร์ทั้งสอง กล่าวคือ ศาสนามีจุดเริ่มต้นอธิบายความจริงที่จำกัดกรอบเฉพาะความเป็นจริงสูงสุด (ความรอดพ้น) ที่สัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันศาสนาก็ผนวกวิธีการอธิบายความจริงของปรัชญามาช่วยอธิบายความจริงของศาสนา เพื่อช่วยให้เห็นว่าความเชื่อศรัทธาต่อความจริงของศาสนาไม่ใช่สิ่งไร้สาระ และไม่ใช่สิ่งที่ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง ในทำนองเดียวกัน การอธิบายความจริงของปรัชญาก็ช่วยทำให้มนุษย์มีความเข้าใจและปฏิบัติตนตามความเชื่อศรัทธาในศาสนาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
2.2.2 ตัวอย่างแนวคิดของนักปรัชญาที่มีอิทธิพลต่อการอธิบายความจริงของศาสนา
โจทย์ที่ศาสนาตั้งและพยายามอธิบาย อาศัยความเชื่อศรัทธาเป็นพื้นฐาน จำเป็นต้องมีการทำความเข้าใจ เพื่อนำสู่การปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง ตามเจตนาของศาสนา เราเห็นถึงความพยายามของนักปรัชญาที่พยายามอธิบายความจริงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ รวมทั้งการอธิบายความจริงของศาสนาที่สัมพันธ์กับมนุษย์ ตัวอย่างเช่น
ก. นักปรัชญาตะวันตกยุคกรีกโบราณและนักปรัชญาตะวันตกยุคกลาง กับการอธิบายความจริงของศาสนา
ปรัชญาตะวันตกยุคกรีกโบราณ ถือเป็นรากฐานของวิทยาการของยุโรป มีการอ้างอิงและประยุกต์แนวคิดของนักปรัชญาชาวกรีกโบราณ โดยเฉพาะปรัชญาของเปลโต้และอริสโตเติ้ล มาอธิบายความจริงของศาสนา ซึ่งเด่นชัดในนักบุญออกัสติน และนักบุญโทมัส อาไควนัส ที่นำแนวคิดมาอธิบายความจริงของศาสนาคริสต์ ในเรื่องนี้ผู้เขียนเคยศึกษาและนำเสนอในเอกสารประกอบการสอนวิชาปรัชญาเบื้องต้น (2551) มาแล้ว จึงตัดตอนมาดังนี้
1) นักบุญออกัสติน (ค.ศ. 354 – 430) : การนำแนวคิดของเปลโต้มาอธิบายคริสต์ศาสนาตามแนวโปลตีนุส
นักบุญออกัสตินนำแนวคิดของเปลโต้และลัทธิเปลโตใหม่ (โดยเฉพาะการนำแนวคิดของเปลโต้มาอธิบายตามแนวทางของโปลตีนุส) มาอธิบายคริสต์ศาสนา (Byrne, 1995: 337) เช่น นำแนวคิดเรื่อง “ทฤษฏีแบบ” มาอธิบายเรื่องพระเจ้า และการสร้างสรรพสิ่งของพระเจ้า
นักบุญออกัสตินเห็นด้วยกับเปลโตที่อธิบายว่าพระเจ้า (โลกแห่งแบบ) เป็นความจริงนิรันดร เป็นหลักพื้นฐานของสรรพสิ่ง เป็นรูปแบบของสิ่งทั้งปวง ท่านอธิบายต่อว่า “พระเจ้าสร้างทุกสิ่งด้วยน้ำพระทัยอิสระ” (Free will) (Stumpf, 1989: 142) จากความไม่มีอยู่ ไปสู่การมีอยู่ แต่พระองค์ไม่ได้สร้างให้เสร็จสมบูรณ์ในทีเดียว เมื่อพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่ง พระองค์ทรงใส่หลักหรือแบบแห่งการคงความเป็นไปตามประเภทของมัน (Seminal principle) ไว้ในสิ่งนั้นด้วย เพื่อให้สรรพสิ่งสร้างตัวเองต่อไปตามรูปแบบของสิ่งนั้นตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ และสรรพสิ่งก็ถ่ายทอดธรรมชาติของตนไปสู่รุ่นต่อ ๆ มา สรรพสิ่งจึงมีลักษณะเฉพาะตามแบบที่พระเจ้ากำหนดไว้ แบบในที่นี้ไม่ใช่เป็นการลอกแบบจากพระเจ้า (โลกแห่งแบบ) ตามแนวเปลโต แต่เป็นลักษณะเฉพาะที่พระเจ้าประทานให้แต่ละสิ่งตามประเภทของมัน
2) นักบุญโทมัส อาไควนัส (ค.ศ. 1225 – 1274) : การนำแนวคิดของอริสโตเติ้ลมาอธิบายคริสต์ศาสนา
สภาพสังคมสมัยที่นักบุญโทมัส อาไควนัสยังมีชีวิตอยู่ เป็นช่วงที่คริสต์ศาสนาเจริญรุ่งเรืองในยุโรป มีการศึกษาเทววิทยาแบบคริสต์ศาสนาอย่างกว้างขวาง ในขณะเดียวกัน ปรัชญาของอริสโตเติ้ลก็ได้รับความนิยมในขณะที่ศาสนาอิสลามทำการเผยแผ่อยู่ นักบุญโทมัส อาไควนัสได้มีโอกาสศึกษาต้นฉบับงานเขียนของอริสโตเติ้ล จึงเห็นว่าน่าจะนำปรัชญาของอริสโตเติ้ลมาช่วยอธิบายคริสต์ศาสนาได้ (Byrne, 1995: 337) โดยใช้แนวคิดของเปลโต้และลัทธิเปลโต้ใหม่มาช่วยเสริม ท่านคิดว่าเหตุผลและความเชื่อในคริสต์ศาสนาไม่ขัดแย้งกัน เพราะมาจากแหล่งที่มาเดียวกัน คือ พระเจ้า สิ่งที่ท่านสนใจคือการอธิบายเทววิทยาของคริสต์ศาสนาอาศัยปรัชญา ท่านคิดว่าปรัชญาเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการช่วยอธิบายเทววิทยา จนถึงกับคิดว่าปรัชญามีอยู่เพื่อรับใช้เทววิทยา สิ่งที่ท่านสนใจมากที่สุดในความคิดของท่านคือ “การพยายามอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า มนุษย์ในฐานะชีวิตที่จะต้องปฏิบัติตนให้บรรลุถึงชีวิตพระเจ้า” (กีรติ, 2527: 240) โดยใช้คำสอนคริสต์ศาสนาเป็นหลัก และนำปรัชญาของอริสโตเติ้ลมาช่วยอธิบายและจัดระบบความคิด เช่น การนำทฤษฏีสสารและรูปแบบของอริสโตเติ้ล มาอธิบายเรื่องการสร้างของพระเจ้า
นักบุญโทมัสดำเนินตามคำสอนคริสต์ศาสนา พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งจากความไม่มีอยู่ (Non being) ทุกสิ่งจึงเป็นของพระเจ้าและต้องขึ้นอยู่กับพระเจ้า มนุษย์เป็นสุดยอดของสิ่งสร้างที่เห็นได้ ท่านเห็นด้วยกับอริสโตเติ้ลที่ว่าทุกสิ่งย่อมมีลักษณะที่เหมือนกันและต่างกันโดยอธิบายได้ด้วยความคิดเรื่องสสารและรูปแบบ สิ่งต่าง ๆ ประกอบด้วยสสาร (Matter) และรูปแบบ (Form) “มนุษย์ประกอบด้วยลักษณะที่เป็นสสาร คือร่างกาย และลักษณะที่เป็นรูปแบบ คือวิญญาณ” (Stumpf, 1989: 188) ทั้งสองลักษณะแม้มีความแตกต่างกัน แต่ก็เป็นหนึ่งเดียวกันในมนุษย์ กล่าวคือ มนุษย์มีทั้งลักษณะที่เป็นสสารเหมือนกับสิ่งอื่น ๆ ทั่วไปที่ถูกจำกัดในโลกแห่งผัสสะ แต่ในขณะเดียวกันมนุษย์มีรูปแบบที่เป็นวิญญาณซึ่งมีศักยภาพที่สามารถก้าวพ้นขอบเขตแห่งโลกผัสสะ เข้าไปสู่การมีส่วนร่วมชีวิตที่สมบูรณ์ของพระเจ้าได้ อาศัยพระกรุณาของพระเจ้าที่โปรดให้มนุษย์เป็นภาพลักษณ์ และมีความเหมือนพระองค์ แต่ในขณะเดียวกันในความเป็นมนุษย์จะตัดร่างกายออกไปไม่ได้ “เพราะธรรมชาติมนุษย์ต้องมีองค์ประกอบที่เป็นกายและวิญญาณ” (Gratsch, 1985: 53) “กายและวิญญาณนี้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยไม่ต้องมีอะไรมาเป็นสื่อกลาง” (Clark, 1972: 214) โดย “วิญญาณมีอยู่ในทุกส่วนของร่างกาย” (Gratsch, 1985: 53) ต้องพึ่งพาแก่กันและกัน ถ้าไม่มีวิญญาณ ร่างกายก็จะไม่มีรูปแบบ ไม่มีชีวิตและไม่เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ถ้าไม่มีร่างกาย วิญญาณก็จะไม่มีอวัยวะที่ช่วยนำสู่ความรู้ มนุษย์จึงเป็นวิญญาณและกายที่เป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง
ข. แนวคิดของนักปรัชญาที่สะท้อนถึงการแยกกันเด็ดขาด ระหว่างเหตุผลกับความเชื่อศรัทธาในศาสนา
แนวคิดของปรัชญาตะวันตกยุคใหม่ และยุคปัจจุบัน ได้พยายามกลับมาสู่อัตลักษณ์ของปรัชญา โจทย์ของปรัชญาต้องพ้นร่มเงาของการจำกัดกรอบแต่เพียงการอธิบายความจริงของศาสนาดังที่ปรัชญาตะวันตกยุคกลางได้กระทำ พยายามใช้สติปัญญาของมนุษย์เพื่ออธิบายและเข้าใจความจริง มีหลักการพื้นฐานว่า ความจริงเป็นสิ่งที่มนุษย์เข้าใจได้ด้วยศักยภาพ (สติปัญญา) ของมนุษย์ ยอมรับเฉพาะความจริงที่รู้และเข้าใจได้ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ ความรู้ ความเข้าใจความจริงต้องเริ่มต้นที่ตัวมนุษย์ ไม่ใช่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อศรัทธาตามหลักการของศาสนา เนื่องจากมนุษย์มีสติปัญญาที่จะเข้าใจความจริงได้ เช่น
1) แนวคิดเหตุผลนิยมของเดสการ์ต กับการรู้ความจริงของมนุษย์
แนวคิดเหตุผลนิยม มีพื้นฐานจากแนวคิดที่อธิบายความเป็นจริงว่า เป็นจิต/อุดมการ จิต (สติปัญญา) ของมนุษย์เป็นคุณลักษณะพิเศษ สามารถรู้ความจริง เน้นศักยภาพของจิต (สติปัญญา) ซึ่งมีศักยภาพที่จะเข้าใจความจริง ที่เป็นสากล และแน่นอนตายตัว ซึ่งประสาทสัมผัสไม่สามารถให้ได้ แนวคิดนี้ เน้นบทบาทของจิต ในการแสวงหาความรู้ด้วยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นศักยภาพของมนุษย์ในการใช้สติปัญญา (จิต) เพื่อการรู้ความจริง ความจริง/ความรู้มีลักษณะที่แน่นอน ชัดเจนและเป็นสากล ดังนั้น ต้องใช้จิตมนุษย์ ที่เป็นสากล จึงจะเข้าใจกันได้ (สิ่งเหมือนกัน ย่อมเข้าใจกัน) นักปรัชญาที่สำคัญมากในกลุ่มเหตุผลนิยม คือ เรอเน เดสการต์ (Rene Descartes, ค.ศ. 1596 – 1650)
2) แนวคิดประสบการณ์นิยมของล็อค กับการรู้ความจริงของมนุษย์
แนวคิดประสบการณ์นิยม มีพื้นฐานจากแนวคิดที่เสนอว่าความเป็นจริง เป็นสสาร (สสารนิยม) ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ (ปรัชญกรีกระยะเริ่มต้น) แนวคิดนี้มีลักษณะตรงกันข้ามกับแนวคิดเหตุผลนิยม ด้วยการ เน้นบทบาทของประสาทสัมผัส ว่าเป็นแหล่งที่มาของความรู้/ความจริง มนุษย์ไม่มีความรู้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ต้องค่อยๆ เรียนรู้จากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงมากในกลุ่มประสบการณ์นิยม ได้แก่ จอห์น ล็อค (John Lock, ค.ศ. 1632 – 1704)
3) แนวคิดของค้านท์และเฮเกล สู่แนวคิดที่ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์มาจำกัดกรอบการรู้ความจริงของมนุษย์ (ปฏิฐานนิยม)
อิมมานูลเอล ค้านต์ (Immanuel Kant, ค.ศ. 1724 – 1804) ได้เสนอความคิดว่า ก่อนที่จะได้มาซึ่งความรู้ที่ถูกต้องและเป็นสากล ต้องทำการแยกประเภทของความจริง ความรู้บางอย่างรับรู้ด้วยหลักเหตุผล (ความรู้ก่อนประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส, A priori) ความรู้บางอย่างต้องผ่านประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส (A posteriori)
ในขณะที่ เฟรดริช เฮเก็ล (George Wilhelm Friedrich Hegel, ค.ศ. 1770 – 1831) คิดว่าควรนำความจริงทางปรัชญามาแทนที่ความจริงทางศาสนา ใช้เหตุผลมาแทนที่ความเชื่อศรัทธาของศาสนา เนื่องจากมนุษย์มีศักยภาพที่จะเข้าใจความจริงได้ แต่ต้องอาศัยกระบวนการที่ต่อเนื่องในประวัติศาสตร์
แนวคิดของค้านท์ และเฮเกล นำสู่การศึกษาปรัชญาโดยตัดขาดความสัมพันธ์กับความเชื่อศรัทธาของศาสนาอย่างสิ้นเชิง นำสู่แนวคิดที่เสนอให้จัดระบบปรัชญาอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ คิดว่ามนุษย์ควรสนใจศึกษาเฉพาะปรากฎการณ์ของมัน และใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์มาจัดระบบและตัดสินมาตรการความรู้ทางปรัชญา เสนอแนวคิดว่าความเป็นจริงมีเท่าที่รู้และตัดสินได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แนวคิดกลุ่มนี้ได้ชื่อว่า แนวคิดปฏิฐานนิยม (Positivism)
จากตัวอย่างแนวคิดของนักปรัชญาที่นำเสนอมาข้างต้น ทำให้เห็นถึงความพยายามที่แยกเด็ดขาด ระหว่างความจริงของปรัชญา ที่ได้มาด้วยสติปัญญาของมนุษย์ กับความจริงของศาสนา ที่มีพื้นฐานบนความเชื่อศรัทธาต่อความจริงของศาสนา ต่างฝ่ายต่างอยู่ในบริบทของตน ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน การยุ่งเกี่ยวสัมพันธ์กันจะนำมาซึ่งการก้าวก่ายเนื้อหาของกันและกัน นำสู่การสูญเสียอัตลักษณ์ในศาสตร์ของตน
3. การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลและความเชื่อศรัทธาในศาสนา ตามแนวคิดของพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2
ในประวัติศาสตร์การศึกษาปรัชญา เราเห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของนักปรัชญาหลายท่าน โดยเฉพาะนักปรัชญาชาวคริสต์ยุคกลาง และนักปรัชญาชาวอิสลามหลายๆ ท่านได้อธิบายความเชื่อศรัทธาในศาสนาอาศัยเหตุผล จวบจนยุคสมัยปัจจุบัน ยังคงมีนักปรัชญาที่สานงานต่อ ในที่นี้ขอนำเสนอตัวอย่างการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลกับความเชื่อศรัทธา ตามแนวคิดของพระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่สอง ดังในวิทยานิพนธ์ที่ผู้เขียนจัดทำขึ้น ซึ่งสรุปแนวคิดของพระองค์ที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผล (ปรัชญา) กับความเชื่อศรัทธาในศาสนาดังนี้ (วุฒิชัย อ่องนาวา, 2548)
3.1 การสนับสนุนให้ใช้เหตุผล (ปรัชญาบุคคลนิยม) มาอธิบายความเชื่อศรัทธาในศาสนาคริสต์
ลักษณะเด่นที่สำคัญประการหนึ่งของแนวคิดของพระสันตะปาปาฯ คือ การทรงนำแนวคิดบุคคลนิยมซึ่งเป็นปรัชญาสมัยปัจจุบันมาอธิบายคำสอนคริสต์ศาสนา ซึ่งเป็นการเขียนอธิบายในทำนองเดียวกับที่นักบุญออกัสติน (ค.ศ. 354 – 430) และนักบุญโทมัส อาไควนัส (ค.ศ. 1225 – 1274) ซึ่งได้เคยนำเอาหลักปรัชญากรีกโบราณมาอธิบายคำสอนของคริสต์ศาสนาในสมัยกลางให้ประสบความสำเร็จมาแล้วเป็นอย่างดี การอธิบายของนักปรัชญาคริสต์ในอดีตทั้งสองท่าน ทำให้เข้าใจคำสอนคริสต์ศาสนาได้ง่ายขึ้นและการอธิบายตามแนวดังกล่าวข้างต้นได้รับการยอมรับเรื่อยมาจนถึงสมัยสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 (ค.ศ. 1962-1965) ที่มีแนวคิดฟื้นฟูและปฏิรูปพระศาสนจักรฯ ทั้งด้านคำสอน พิธีกรรมและกฎหมายให้เป็นระบบและทันสมัยสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพสังคมในปัจจุบัน พระสันตะปาปาฯ ในฐานะที่ทรงชื่นชมวิชาปรัชญาเป็นการส่วนพระองค์อยู่ก่อนแล้วจึงดำเนินการตามคำแนะนำของสภาสังคายนาวาติกันฯ พระองค์ทรงชื่นชมแนวปรัชญาที่สนใจความหมายของชีวิต และปรัชญาที่ศึกษาวิเคราะห์มนุษย์ในฐานะเป็นบุคคลที่มีความรู้สำนึก มีเสรีภาพและมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยเฉพาะแนวคิดของเอ็มมานูเอล มูเนียร์ (ค.ศ. 1905 – 1950) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแนวคิดบุคคลนิยมสมัยใหม่ สมเด็จพระสันตะปาปาฯ ทรงเห็นว่าปรัชญาแนวบุคคลนิยมนี้สอดคล้องกับคำสอนคริสต์ศาสนา พระองค์จึงทรงนำปรัชญาแนวนี้มาประยุกต์ใช้อธิบายคำสอนคริสต์ศาสนาในสมัยของพระองค์
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพระสันตะปาปาฯ จะนำปรัชญามาใช้อธิบายคำสอนของคริสต์ศาสนา แต่ก็มีความแตกต่างจากแนวทางของนักบุญออกัสตินและนักบุญโทมัส อาไควนัส (ซึ่งเน้นใช้ปัญญาเหตุผลในการเข้าถึงความจริงสูงสุดคือพระเจ้า) ตรงที่ว่า พระสันตะปาปาฯ ทรงนำปรัชญาบุคคลนิยมมาอธิบายคำสอนของคริสต์ศาสนา เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและเพื่อหาแนวทางแก้ไขให้ถูกต้องเหมาะสมกับยุคสมัยมากขึ้น
3.2 เหตุผล (ปรัชญา) ช่วยให้เราเข้าใจความเชื่อศรัทธาในศาสนาและ “ไม่มีปรัชญาทางการของศาสนาคริสต์ โรมันคาทอลิก”
จากประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนา พบว่ามีการนำปรัชญามาช่วยอธิบายคำสอนคริสต์ศาสนามานานแล้ว ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของพระศาสนจักร เห็นได้ชัดจากคำสอนของนักบุญเปาโล นักบุญออกัสติน และนักบุญโทมัส อาไควนัส ซึ่งนำปรัชญากรีกมาอธิบายคำสอนคริสต์ศาสนา และยังคงมีการดำเนินเรื่อยมา แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือ มีการพยายามทำคำสอนคริสต์ศาสนาให้เป็นปรัชญา จนเน้นเรื่องงานด้านวิชาการของคริสต์ศาสนามากเกินไป “มีการนำคำสอนคริสต์ศาสนามาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตทั่วไป จนลืมเน้นไปว่าคริสต์ศาสนามีเป้าหมายเฉพาะ ก็คือการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามแบบอย่างพระเยซูคริสตเจ้า” (กีรติ, 2001: 73) สมเด็จพระสันตะปาปาฯ จึงทรงให้แนวคิดดังปรากฎในเอกสาร Fides et Ratio (ความเชื่อและเหตุผล) (1998) ว่าพระศาสนจักรฯ ไม่มีปรัชญาอย่างเป็นทางการ หมายความว่า ถึงแม้ว่าพระศาสนจักรจะใช้ปรัชญามาอธิบายคริสต์ศาสนา แต่ พระศาสนจักรย่อมไม่ยึดติดกับระบบปรัชญาลัทธิใดลัทธิหนึ่งอย่างเป็นทางการ ถึงแม้สมเด็จพระสันตะปาปาฯ บางพระองค์จะยึดปรัชญาบางระบบในการอธิบายคริสต์ศาสนาเป็นการส่วนพระองค์ก็ตาม ในเรื่องนี้ กีรติ (2544: 73) ได้แสดงความคิดว่าสมเด็จพระสันตะปาปาฯ ทรงให้ความชัดเจนในเรื่องนี้และถือเป็น “มิติใหม่ของคริสตจักรคาทอลิก” ที่สอนอย่างเป็นทางการ สมเด็จพระสันตะปาปาฯ ทรงแถลงว่า “ปรัชญาเป็นวิถีทางที่สำคัญอย่างหนึ่งในการเข้าถึงความจริงในพระเจ้า” (John Paul II, 1998: 5) ในฐานะที่มนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญา พระองค์จึงทรงเชิญชวนคริสตชนที่มี ความรู้ ความสามารถว่ามีหน้าที่ต้องศึกษาค้นคว้าปรัชญาทุกคนทุกรูปแบบและร่วมมือกับนักปรัชญาทุกรูปแบบ เพื่อหาคำอธิบายคำสอนของคริสต์ศาสนาให้กระจ่างแจ้งกว้างขวางยิ่งๆ ขึ้น แต่พระศาสนจักรจะนำปรัชญาลัทธิใดลัทธิหนึ่งมาช่วยอธิบายคำสอนก็ได้ โดยไม่มีการผูกมัดกับแนวคิดของนักปรัชญาบุคคลใดหรือลัทธิใดลัทธิหนึ่งทั้งสิ้น พระสันตะปาปาฯ ทรงมีความคิดที่จะใช้ปรัชญาช่วยทำให้รู้ถึงความจริง ตามความเข้าใจของเราเป็นการส่วนพระองค์ ทรงย้ำว่าไม่มีปรัชญาเป็นทางการของพระศาสนจักรฯ มีแต่คำสอนของพระศาสนจักรฯ ที่เราสามารถนำแนวคิดทางปรัชญาต่างๆ มาช่วยอธิบายคำสอนของคริสต์ศาสนา เป็นที่น่าสังเกตว่าพระศาสนจักรจะผูกมัดกับคำสอนคริสต์ศาสนา แต่ไม่ผูกมัดกับแนวคิดของระบบปรัชญาใด ๆ ทั้งสิ้น
พระสันตะปาปาฯ (1998: 49) ทรงสอนว่า “พระศาสนจักรไม่ได้เสนอปรัชญาเฉพาะของตน และไม่ได้เลือกปรัชญาสำนักใดสำนักหนึ่งเป็นทางการ” ปรัชญามีหลักและวิธีการของตน ซึ่งทำให้มีอัตลักษณ์ของตน ในฐานะที่เป็นการแสวงหาความจริงด้วยเหตุผล ปรัชญาทุกชนิดคงสามารถช่วยให้เข้าไปถึงความจริงเกี่ยวกับความหมายของความเชื่อศรัทธา แน่นอนว่า จากประวัติศาสตร์แนวคิดของปรัชญา มีปรัชญาบางลัทธิที่เป็นวัตถุนิยม ปฏิเสธคุณค่าของจิต ศาสนา และความเป็นจริงสูงสุด อาจจะคิดว่าปรัชญาแบบนี้จะเป็นหนทางหรือเครื่องมือเข้าสู่ความจริงของความเชื่อศรัทธาไม่ได้เลย จำเป็นต้องรู้จักการพิจารณาด้วยเหตุผลที่เหมาะสมทุกครั้งที่เราพิจารณาแนวคิดของนักปรัชญา แต่แนวคิดของนักปรัชญากลุ่มดังกล่าว ยังมีบทบาทเป็นการท้าทายสำหรับผู้มีความเชื่อ เราจะสังเกตได้ว่าการปฏิเสธความจริงของศาสนา เนื่องจากมีทัศนคติต่อความจริงของศาสนาที่ไม่ครบถ้วน ความคิดของนักปรัชญากลุ่มดังกล่าวยังคงเรียกร้องให้เราคิดใหม่และแสวงหาวิธีการอธิบายความจริงของศาสนาให้เข้าใจยิ่งขึ้น (ยัง ดังโตแนล, 2551)
3.3 เหตุผล ช่วยทำให้มนุษย์มีสติต่อความเชื่อศรัทธาในศาสนา
พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ในเอกสารเรื่องความเชื่อและเหตุผล (Fides et Ratio) สอนว่า “ความเชื่อศรัทธาที่ปราศจากเหตุผล จะเน้นถึงความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว และคงจะขาดลักษณะเป็นความจริงสากล อาจจะกลับมาเป็นเทพนิยายหรือไสยศาสตร์” (1998: 48) ยิ่งกว่านั้น ในภาคปฏิบัติ ความเชื่อศรัทธาที่ไม่มีเหตุผลสนับสนุน มีแนวโน้มที่จะเป็นความเชื่อที่งมงาย และจะทำให้คนพอใจกับการถือตามกฎบัญญัติอย่างละเอียด โดยไม่เข้าใจความหมายของกฎนั้นๆ ความเชื่อศรัทธา ที่ขาดเหตุผลแบบนี้ จะเป็นพละกำลังในการดำเนินชีวิตตามคำสอนของศาสนาไม่ได้ (Sokolowski, 2006)
ดังนั้น สิ่งที่พระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงยืนยันว่า ตามคำสอนของคริสต์ศาสนาที่สอนว่าการเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับพระเจ้ามาจากพระประสงค์ของพระเจ้าเอง ที่ปรารถนาให้เรามนุษย์รู้ความจริงเกี่ยวกับพระองค์ แต่ในวิธีการเผยความจริงนี้ พระองค์ทรงอาศัยประสบการณ์ความคิด และการไตร่ตรองของผู้ที่เป็นมนุษย์ภายในประวัติศาสตร์ของโลก การรับพระวาจาและการเผยแสดงของพระองค์ในวันนี้ ยังเรียกร้องให้มนุษย์ใช้ความคิดและการไตร่ตรองเช่นเดียวกัน นี่เองที่เราเห็นความสำคัญของปรัชญาเพื่อจะเข้าสู่ความหมายของความเชื่อศรัทธา และเข้าใจความจริงที่พระองค์ทรงแสดงให้เป็นหนทางการดำเนินชีวิต (John Paul II, 1998: 7-12) พระสันตะปาปาฯ ทรงยืนยันอีกว่า “ความเชื่อเรียกร้องความช่วยเหลือของเหตุผล เพื่อจะเข้าใจความหมายของเนื้อหา” (John Paul II, 1998: 42) (ยัง ดังโตแนล, 2551)
4. การนำแนวคิดของปรัชญา มาอธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์ตามหลักศาสนา
ปัญหาเรื่องความทุกข์ ถือเป็นสัจธรรมที่ทุกคนประสบ ทุกศาสนาอธิบายธรรมชาติมนุษย์ที่เชื่อมโยงกับปัญหาเรื่องความทุกข์ สอนว่าชีวิตในอุดมคติ คือ ความรอดพ้นเป็นภาวะที่พ้นวัฎจักรแห่งความทุกข์ แต่ชีวิตในภาวะปัจจุบัน เป็นชีวิตที่แวดล้อมด้วยความทุกข์ จนกว่าจะบรรลุถึงความรอดพ้น ปัญหาเรื่องความทุกข์ จึงเป็นสิ่งที่นักปรัชญาหลายๆ ท่านให้ความสนใจและพยายามอธิบายความหมาย ซึ่ง ยัง ดังโตแนล (2551) ได้วิเคราะห์ไว้ดังนี้
4.1 การอธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์ตามแนวคิดของนักบุญโทมัส อาไควนัส
นักบุญโทมัส อาไควนัส (St. Thomas Aquinas, ค.ศ. 1225 – 1274) นักบวชของคริสต์ศาสนา มีหลักสำคัญของอภิปรัชญาอยู่ที่ภวันต์ (Being) ท่านคิดว่า ภวันต์ คือ ความดี หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ เป็นสิ่งที่ดี เมื่อจะพูดถึงความชั่ว หรือความทุกข์ นักบุญโทมัสจะอธิบายว่า ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ แต่เป็นการขาด หรือการขาดคุณลักษณะที่ควรจะมี เช่น คนตาบอด ไม่ดี เพราะขาดการเห็น เป็นต้น ท่านคิดว่าไม่มีอะไรที่เป็นความชั่วหรือความทุกข์ในตัวเอง ดังนั้น ไม่มีอะไรที่เราจะถือว่าเป็นต้นเหตุสากลของความชั่ว/ความทุกข์ และถ้าหากว่า เราพบความชั่วหรือความทุกข์ในโลก เป็นเพราะโลกมีขอบเขตจำกัด ขาดความสมบูรณ์
การอธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์/ความชั่วตามแนวนักบุญโทมัส เป็นสิ่งยอมรับได้สำหรับคำสอนของศาสนาที่สอนเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้า นักบุญโทมัสคิดว่า พระเจ้าเป็นปฐมเหตุของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ แนวคิดนี้ช่วยให้เข้าใจได้ว่า พระเจ้าไม่เป็นสาเหตุของความชั่วหรือความทุกข์ แต่ว่าเมื่อเราจะพบคนที่ประสบความทุกข์อย่างรุนแรง หรือเมื่อเราเองจะอยู่ในเหตุการณ์ที่เลวร้าย คำอธิบายทางอภิปรัชญานี้คงจะไม่พอเพื่อจะให้ความปลอบใจ และคงจะไม่สามารถให้กำลังใจแก่ผู้ประสบทุกข์ได้
4.2 ปัญหาเรื่องความทุกข์/ความชั่วร้ายตามแนวคิดของปอล รีเกอร์ (Paul Ricoeur)
ปอล รีเกอร์ (Paul Ricoeur ค.ศ. 1913 - 2005) นักปรัชญาแนวบุคคลนิยม ได้อธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์และความชั่ว โดยเน้นการพิจารณาปัญหาเรื่องความทุกข์ ที่เชื่อมโยงสู่ภาคปฏิบัติ มากกว่าทฤษฏี
4.2.1 ประเภทของความทุกข์
ปอล ริเกอร์ แบ่งความทุกข์เป็นสองประเภท คือ ความทุกข์เชิงศีลธรรม และความทุกข์ตามธรรมชาติ กล่าวคือ
ก. ความทุกข์เชิงศีลธรรม
ได้แก่ ความประพฤติ การปฏิบัติตนที่ไม่ถูกต้อง ผิดกฎหมายหรือฝ่าฝืนระเบียบ การปฏิบัติแบบนี้แสดงว่าต้องมีผู้หนึ่งที่รับผิดชอบ ซึ่งจะถือว่าเป็นสาเหตุของความทุกข์ที่เกิดขึ้น และเมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องมีการลงโทษให้แก่ผู้ที่ทำผิดอย่างนี้ เช่น การขโมยทำให้เกิดความเสียหายแต่มีผู้ร้ายที่ต้องรับผิดชอบ และถูกลงโทษเพราะทำผิดกฎหมายของสังคม
ข. ความทุกข์ตามธรรมชาติ
ความชั่วร้ายหรือความทุกข์ตามธรรมชาติ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่ต้องมีผู้รับผิดชอบและไม่มีการลงโทษ เช่น ถ้าเกิดมีพายุแรงทำให้บ้านพังหมด มีความเสียหายมากทีเดียว แต่จะหาผู้รับผิดชอบไม่ได้
เมื่อมีการใช้เหตุผลมาอธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์/ความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นนี้ มีแนวโน้มที่จะไม่แยกความทุกข์สองประเภทนี้ออกจากกัน เนื่องจากคิดว่าเป็นความทุกข์เหมือนกัน มีคนที่ได้รับความเดือดร้อน หรือประสบความทุกข์ และอาจมีผู้อื่นที่ตั้งใจทำให้เกิดความทุกข์เช่นนี้ เมื่อมีการพิจารณาปัญหาเรื่องความทุกข์ ดูเหมือนว่าต้องเป็นผลมาจากการกระทำผิดของผู้ใดผู้หนึ่ง และความทุกข์จะแสดงออกว่าเป็นการลงโทษ เพราะความผิดที่ได้กระทำ การอธิบายเช่นนี้ใช้ได้กับปัญหาเรื่องความทุกข์แบบศีลธรรม ซึ่งเป็นผลมาจากความประพฤติที่ไม่ดีก็จริง แต่ในกรณีของความทุกข์ตามธรรมชาติ การรับความทุกข์ไม่ได้ออกมาจากการตัดสินใจหรือการกระทำของคนใดคนหนึ่ง ดังนั้น จะอธิบายว่าเป็นการลงโทษจากการกระทำที่ไม่ถูกต้องไม่ได้
4.2.2 ปัญหาเรื่องความทุกข์ตามธรรมชาติ
ในวัฒนธรรมต่างๆ มีตำนานธรรม (Myth) เพื่อจะอธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์หรือความชั่วร้ายในลักษณะของเทพนิยาย เล่าเรื่องการต่อสู้ระหว่างเทพเจ้าที่ดีและเทพเจ้าที่ไม่ดี เพื่ออธิบายว่า ทำไมต้องมีความชั่วหรือความทุกข์ในชีวิตมนุษย์ โดยใช้วิธีการมองดูจุดเริ่มหรือบ่อเกิดของโลก โรคภัยต่างๆ หรือหายนะทุกอย่างที่มาจากเทพเจ้ารูปหนึ่งที่มีแต่ความชั่วและทำลายโลกที่พระเจ้าได้สร้าง หรือว่าพยายามอธิบายว่า ความชั่วที่เกิดขึ้นนั้นมาจากพระเจ้าเอง เป็นวิธีตอบแทนความผิดของมนุษย์
แนวคิดเช่นนี้ ถูกต่อต้านจากพระคัมภีร์ของศาสนายิวหรือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะจากกรณีของโยบ ที่พระคัมภีร์เล่าถึงบุคคลหนึ่งที่ประสบความทุกข์ ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ชอบธรรม โยบได้รับความเดือดร้อน ความเสียหาย และเป็นโรคหนัก ใกล้จะตายแล้ว แต่ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด และเพื่อนของโยบที่หาความผิดหรือบาปของโยบเป็นการให้เหตุผลอธิบายความทุกข์นั้น ในตอนสุดท้ายของเรื่องราวก็ถูกตำหนิว่าเข้าใจผิด กรณีของโยบนี้ พระคัมภีร์ต้องการสอนว่า ไม่ควรหาเหตุผลตามแบบของตำนานธรรมต่างๆ ด้วยวิธีมองดูบ่อเกิดของความชั่วหรือความทุกข์นั้น นำสู่การสรุปได้ว่า ความทุกข์ตามธรรมชาติไม่เป็นการลงโทษ และไม่มีการอธิบายที่ถูกต้อง ครบถ้วน อันเป็นผลจากการตัดสินใจของผู้หนึ่งผู้ใดที่ต้องการให้เกิดขึ้น
ก. ความทุกข์ตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักเหตุผล
หลังจากที่เราแยกออกความทุกข์แบบศีลธรรม และความทุกข์ตามธรรมชาติแล้ว เราพบว่าไม่สามารถที่จะใช้วิธีการอธิบายของปัญหาเรื่องความทุกข์แบบศีลธรรมมาอธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์ตามธรรมชาติได้ คนที่ได้กระทำผิดและถูกลงโทษ หรือรับความทุกข์อันเป็นผลจากการกระทำตามหลักความยุติธรรม แต่ในกรณีของผู้ชอบธรรม ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ต้องเดือดร้อนและรับทรมานจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ความทุกข์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ตามเหตุผล สติปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้
การอธิบายของรีเกอร์ ดูเหมือนจะสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนว่าไม่มีประโยชน์ ที่จะแสวงหาสาเหตุของความทุกข์ เราคงจะไม่สามารถหาเหตุผลเป็นที่พอใจ สิ่งเดียวที่มีประโยชน์ก็คือ หาวิธีพ้นจากความทุกข์ โดยไม่ต้องเสียเวลาหารือว่าความทุกข์นั้นมาจากไหน พระองค์ทรงใช้คำเปรียบเทียบว่า ผู้ที่แสวงหาเหตุผลทางทฤษฎีนั้น ประพฤติราวกับบุรุษโง่ ที่ถูกเขายิงด้วยลูกศรเจือยาพิษ แล้วยังมาเสียเวลากับการวิพากษ์วิจารณ์ สืบค้นถึงแหล่งที่มาของลูกศร ผู้ผลิตลูกศรและบุคคลผู้ยิงลูกศร แทนที่จะพยายามดึงลูกศรออก แล้วรักษาบาดแผลทันทีทันใด เพื่อความปลอดภัยของชีวิต
ข. ความทุกข์ตามธรรมชาติท้าทายการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น
รีเกอร์ได้อธิบายต่อไปว่า ความทุกข์ที่ผู้ชอบธรรมจะรับมาจากธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่จะอธิบายได้ในภาคทฤษฎี แต่เป็นเหตุการณ์ที่เราควรจะมองดูในภาคปฏิบัติ กล่าวคือ ความทุกข์ดังกล่าวนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเรียกร้องให้เราลงมือต่อสู้เพื่อจะชนะความทุกข์นี้ได้ ความทุกข์ ความเดือดร้อนนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็จริง เป็นสิ่งที่เราประสบ แม้เราไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล เช่น กรณีของแผ่นดินไหว ทำให้คนเสียชีวิตหลายร้อย หลายพันคน คำอธิบายของวิทยาศาสตร์คงจะบอกเราว่ามันเกิดขึ้นอย่างไรก็จริง แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้บอกว่าทำไมคนต่างๆ ที่ประสบความทุกข์เช่นนี้ต้องเสียชีวิต เป็นต้น เราไม่อาจเข้าใจได้ว่า ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ และเมื่อผู้ประสบความทุกข์ตามธรรมชาติ (ที่ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น) จะค้นหาความผิดหรือบาปในอดีตของตน ว่าเป็นสาเหตุของความทุกข์นั้น ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร แต่เราควรจะช่วยให้เขายอมรับกับภาวะที่เกิดขึ้นกับตัวเขา ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล ว่าทำไมมันเกิดขึ้น ผู้ประสบความทุกข์ต้องการกำลังใจที่จะเผชิญหน้ากับความทุกข์ เพื่อการดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความมั่นใจว่า จิตใจของเขาจะสามารถชนะความทุกข์นี้ได้
รีเกอร์ เสนอให้เราพิจารณาความทุกข์ที่เกิดขึ้นแบบนี้ ว่าเป็นการท้าทาย เป็นการเรียกร้องให้เราเผชิญหน้ากับความทุกข์ ในภาคปฏิบัติมากกว่าที่จะมาพิจารณาหรืออธิบายเหตุผล ตามหลักทฤษฏี เมื่อเราประสบความยากลำบาก ความเดือดร้อน เราไม่ควรจะค้นหาในอดีต ว่ามีสาเหตุที่ไหน แต่ตรงกันข้าม เราต้องมองดูปัจจุบันและอนาคตว่า เราจะเผชิญหน้ากับความทุกข์ที่ไม่อาจอธิบายได้ตามหลักเหตุผลนั้นอย่างไร
4.2.3 การวิเคราะห์การอธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์ของรีเกอร์และการนำไปประยุกต์ใช้
วิธีการอธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์ของรีเกอร์นี้ ไม่ขัดแย้งกับวิธีอธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์ตามแนวของนักบุญโทมัส กล่าวคือ การที่นักบุญโทมัสอธิบายว่า ความทุกข์ คือ ภาวะที่ไม่มีอยู่ (Non being) ในขณะที่รีเกอร์ก็อธิบายว่า ความทุกข์ (ตามธรรมชาติ) คือ ภาวะที่ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักเหตุผล ในแง่นี้เรากล่าวได้ว่า นักปรัชญาทั้งสองท่านมีการอธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์ที่ตรงกัน ในรายละเอียดที่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม การอธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์ตามแนวของรีเกอร์ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ดังนี้
ก. สิ่งที่ผู้ประสบความทุกข์ (ตามธรรมชาติ) ควรใส่ใจเป็นลำดับแรก คือ การสร้างกำลังใจ แทนที่จะรู้สึกหนักใจเมื่อเผชิญหน้ากับความทุกข์ ไม่ควรเอาแต่โทษตนเองว่าเป็นผู้ที่ทำผิด เพื่อให้เขามีความหวังในอนาคตและมีแรงพอที่จะเผชิญหน้ากับความทุกข์
ข. บ่อยครั้ง เรามักได้ยินคำกล่าวจากผู้นับถือศาสนา เป็นต้นผู้นับถือศาสนาคริสต์ว่า ความทุกข์ ความเดือดร้อน เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า วิธีอธิบายของรีเกอร์ ช่วยให้เราเข้าใจคำพูดแบบนี้อย่างถูกต้อง และให้เราระมัดระวังที่จะใช้คำพูดนี้ด้วย กล่าวคือ ถ้าหากว่าจะเข้าใจว่าพระเจ้าเป็นสาเหตุของความทุกข์ ความตาย หรือความเดือดร้อน คงจะเป็นการมองดูสาเหตุที่เกิดขึ้น ด้วยการค้นหาสาเหตุในภาคทฤษฎีอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้น คงจะทำให้เกิดความคิดที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพระเจ้าตามที่พระคัมภีร์คริสต์ศาสนาสอน กล่าวคือ พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้มนุษย์เดือดร้อน “เจ้าคิดว่าเราชื่นชมที่เห็นคนชั่วตายหรือ เราต้องการเห็นเขากลับใจ และมีชีวิตอยู่มากกว่า” (อสค 18: 23)
จากการอธิบายของรีเกอร์ ช่วยให้เราเข้าใจว่า เมื่อเราประสบความทุกข์ แต่พระประสงค์ของพระเจ้าเรียกร้องให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป ความทุกข์นี้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เท่าที่เป็นวิธีการขอให้เราเผชิญหน้ากับความทุกข์ด้วยความไว้วางในในพระองค์ เพื่อให้เราสามารถพัฒนาชีวิตของตนต่อไปในภาวะที่ประสบกับความทุกข์ ความทุกข์ที่เกิดจากเหตุการณ์ตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว (แม้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น) ดังนั้น ความทุกข์ จึงเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญหน้า ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องอธิบายหาเหตุผลเพื่อเข้าใจว่า ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะอะไร แต่เราควรจะบอกว่า แม้จะมีความทุกข์ ความเดือดร้อน เรายังต้องการที่จะดำเนินชีวิตต่อไป เพื่อพัฒนาตัวเอง เพื่อจะทำให้ตัวเองและผู้อื่นดีขึ้น พระเจ้าไม่ได้เป็นวิธีการที่เราจะใช้เป็นเหตุผลอธิบายสำหรับสิ่งที่เราไม่สามารถจะอธิบายได้ พระองค์กลับมาเป็นผู้ที่ประทานกำลังใจ เพื่อการเผชิญหน้ากับความทุกข์ในชีวิต
4.3 ปัญหาเรื่องความทุกข์ ยังคงเป็นความลึกลับในชีวิตมนุษย์
จากความพยายามของตัวอย่างของนักปรัชญา ที่นำเสนอสองท่าน ได้แก่ นักบุญโทมัส อาไควนัส และพอล รีเกอร์ ที่อธิบายปัญหาเรื่องความทุกข์ ซึ่งเป็นหลักธรรมคำสอนสำคัญของศาสนา ด้วยการใช้เหตุผลมาอธิบายปัญหาดังกล่าว อาจช่วยให้เราเข้าใจความหมายเรื่องความทุกข์ได้บ้าง โดยเฉพาะแนวคิดของรีเกอร์ที่เสนอความคิดว่า ความทุกข์ของแต่ละคน เป็นความท้าทายที่จะรับแทนกันไม่ได้ เมื่อเราอยู่ต่อหน้าความลำบากของผู้อื่น ไม่มีอะไรที่เราจะเอามาอธิบายความหมายของความทุกข์นั้นได้ ผู้ที่ประสบความทุกข์เท่านั้น จะต้องเผชิญหน้ากับการท้าทายนั้นด้วยตัวเอง ไม่ใช่มีแต่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ยุติธรรม คงไม่สามารถแก้ปัญหาความทุกข์ที่เผชิญหน้าได้ แต่เมื่อผู้ที่เผชิญหน้ากับความทุกข์ มอบความไว้วางใจ และมองภาพรวมของชีวิตว่าเป็นอะไรที่มากกว่าความทุกข์ ความดีมากกว่าความชั่ว ผู้ที่พบกับความทุกข์นั้น คงจะสามารถมองข้ามหลักความยุติธรรม (ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว) และช่วยให้เข้าใจในคุณค่าของชีวิต เพื่อจะทำให้ความดีชนะความชั่ว/ความทุกข์ได้ ในที่สุด
5. ตัวอย่างแนวคิดของปรัชญามาอธิบายคำสอนสำคัญอื่นๆ ของศาสนา
จากการที่พระสันตะปาปายอหน์ ปอล ที่ 2 ซึ่งเป็นทั้งนักวิชาการ นักปรัชญาและอดีตผู้นำของศาสนาท่านหนึ่ง ให้แนวทางว่า “การคิดไตร่ตรองแบบปรัชญาสามารถช่วยได้มากในการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างความจริงและชีวิต ระหว่างเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆ และคำสอนระหว่างความเป็นจริงสูงสุดและภาษาธรรมดาของมนุษย์ชัดมากยิ่งขึ้น” (1998: 99) สิ่งที่พระสันตะปาปาฯ ย้ำคือ การตระหนักถึงหน้าที่สำคัญอันดับแรกของการมีความเชื่อศรัทธาต่อความจริงของศาสนา และปฏิบัติตนตามความจริงของศาสนาด้วยความเข้าใจสิ่งที่ตนปฏิบัติ และหน้าที่นี้จะดำเนินไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช้ปรัชญามาช่วยทำให้เกิดความเข้าใจ พระสันตะปาปาฯ ยังกล่าวถึงหน้าที่สำคัญของเผยแผ่ความจริงของศาสนาว่า “ต้องช่วยมนุษย์ให้รู้สำนึกถึงความสามารถของตนที่จะรู้ความจริง และรู้ถึงความปรารถนาที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายสูงสุดที่ทำให้ชีวิตทั้งหมดมีความหมาย” (John Paul II, 1998: 102) (ยัง ดังโตแนล, 2551)
จากแนวคิดดังกล่าว ทำให้เราตระหนักถึงบทบาทของปรัชญาในการอธิบายความหมายของความจริง (Sokolowski, 2006) ในฐานะเป็นโจทย์ที่เป็นอัตลักษณ์ของปรัชญา ในที่นี้ จึงขอนำเสนอตัวอย่างการใช้หลักการของเหตุผลมาอธิบายความจริงของศาสนา ที่ใช้แนวคิดของนักปรัชญามาอธิบาย ตามที่ยัง ดังโตแนล (2551) ได้ศึกษาและวิเคราะห์ไว้
5.1 การใช้เหตุผลเพื่ออธิบายการมีอยู่ของพระเจ้า
ยัง ดังโตแนล (2551) ได้อ้างถึงแนวคิดของ Jean Lacroix (ค.ศ. 1900 – 1986) นักปรัชญาที่นับถือศาสนาคริสต์คนหนึ่งที่ได้บอกว่า “ต้องขอบคุณเพื่อนนักปรัชญาที่ปฏิเสธพระเจ้าเพราะว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเขา ข้าพเจ้าจะหลอกลวงตัวเองไม่ได้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า” หลายครั้งเราคิดว่าปรัชญาต้องมีหน้าที่หาข้อพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า ตามวิธีการของนักบุญโทมัส อาไควนัส ที่อธิบายการมีอยู่ของพระเจ้าอาศัยหลักการเชิงภววิทยา ปรัชญาต้องสามารถอธิบายด้วยเหตุผลที่จะช่วยให้ยอมรับว่าพระเจ้ามีอยู่จริง แต่ไม่ถูกต้องที่จะเรียกว่าเป็นการพิสูจน์การมีอยู่และธรรมชาติของพระเจ้าสูงกว่าความสามารถของสติปัญญาของเรา ปรัชญาคงพอใจกับการยืนยันว่า การยอมรับพระเจ้าไม่ได้เป็นความคิดที่ไร้สาระ และการยอมรับการมีอยู่ของพระเจ้าช่วยเข้าใจคุณค่าและความหมายของชีวิตมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น
ในเรื่องนี้ Emmanuel Levinas (ค.ศ. 1906 – 1995) นักปรัชญาแนวปรากฏการวิทยาและบุคคลนิยม ที่นับถือศาสนายิวได้กล่าวว่า “พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้มีการพิสูจน์พระองค์ แต่พระองค์ทรงต้องการให้เราพบและรู้จักพระองค์” คำพูดนี้ไม่ได้หมายความว่า ความเชื่อศรัทธาไม่ต้องมีเหตุผล แต่เป็นการแสดงถึงขอบเขตจำกัดของปรัชญาในการอธิบายถึงพระเจ้า หรือกล่าวได้ว่า ความเชื่อศรัทธาเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ชัดเจนต่อความจริงของศาสนาได้มากกว่าเหตุผล (Sokolowski, 2006)
นักบุญโทมัส อาไควนัสยังเป็นนักปรัชญาสำคัญที่ใช้ปรัชญาเพื่อจะอธิบายความเชื่อศรัทธาของคริสต์ศาสนา สาระสำคัญที่สุด คือ วิธีการและเจตนาของท่านมากกว่าเนื้อหาที่ท่านอธิบาย นักบุญโทมัสใช้ปรัชญาที่มีอยู่ในสมัยของท่านเพื่ออธิบายความเชื่อศรัทธาในศาสนา (ความเชื่อถึงพระเจ้าของคริสต์ศาสนา) สิ่งที่จำเป็นสำหรับการเข้าใจความเชื่อศรัทธาต่อความจริงของศาสนาในสมัยปัจจุบัน ไม่ใช่การซ้ำเนื้อหาของนักบุญโทมัส แต่เป็นการทำเหมือนท่าน คือ การใช้ปรัชญาปัจจุบันเพื่อเข้าสู่ความหมายของความจริงของศาสนา ในรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ยุคปัจจุบัน (ยัง ดังโตแนล, 2551)
5.2 แนวคิดเรื่องความสัมพันธ์ของบุคคล มาประยุกต์ใช้อธิบายคำสอนเรื่องพระตรีเอกภาพในคริสต์ศาสนา
คริสต์ศาสนาสอนว่า พระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว แต่เป็นสามพระบุคคล คือ พระบิดา พระบุตรและพระจิต ซึ่งร่วมเป็นพระเจ้าองค์เดียว ผู้นับถือศาสนาคริสต์เข้าใจว่า คำสอนเรื่องนี้เป็นธรรมล้ำลึกที่เข้าใจยาก แต่เป็นข้อหนึ่งที่มีความหมายลึกซึ้ง และสติปัญญาของมนุษย์สามารถให้เหตุผลพอที่จะรับว่าคำสอนดังกล่าวไม่ใช่เรื่องไร้สาระ
จากประวัติของศาสนาคริสต์ มีนักวิชาการที่พยายามให้คำอธิบายคำสอนดังกล่าว ที่สำคัญคือ นักบุญออกัสติน เราสามารถนำปรัชญาบุคคลนิยม (Personalism) ซึ่งเป็นแนวคิดของปรัชญาสมัยปัจจุบันมาอธิบายความหมายของการเป็นบุคคล (Person) ด้วยการเสนอว่าบุคคลเป็นผู้มีอัตลักษณ์และมีลักษณะพื้นฐานที่ทำให้บุคคลเปิดตนเองและสร้างความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับบุคคลอื่น สิ่งนี้เป็นหลักของชีวิตร่วมในสังคม มนุษย์ในฐานะที่เป็นบุคคล สามารถสร้างกลุ่มหมู่คณะ (Community) ด้วยความรักและเคารพต่อกันและกัน ถ้าจะประยุกต์แนวคิดของบุคคลนิยมมาอธิบายคำสอนเรื่องพระตรีเอกภาพของคริสต์ศาสนา จะช่วยให้เข้าใจว่า พระเจ้าหนึ่งเดียว สามพระบุคคลมีอัตลักษณ์ของพระองค์เอง แต่ทั้งสามพระองค์มีความสัมพันธ์ต่อกันและกัน เพราะความสัมพันธ์นั้นเป็นลักษณะพื้นฐานของการเป็นบุคคล และทั้งสามพระองค์เป็นหนึ่งเดียว เป็นหมู่คณะที่สมบูรณ์กว่าหมู่คณะของมนุษย์ อาจจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นทฤษฎีล้วน แต่เป็นวิธีการอธิบายที่น่าสนใจที่ทำให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ มีความเข้าใจความเชื่อศรัทธาและยอมรับคำสอนของศาสนาคริสต์ ที่ว่า พระเจ้า คือ องค์ความรัก เพราะชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตหมู่คณะที่สมบูรณ์ และเป็นแบบอย่างสำหรับชีวิตร่วมของมนุษย์ ทั้งการดำเนินชีวิตครอบครัวและสังคม
5.3 การนำแนวคิดของปรัชญาที่อธิบายประวัติศาสตร์ มาอธิบายเรื่องประวัติแห่งความรอดพ้นของคริสต์ศาสนา
ศาสนาคริสต์สอนว่าพระเจ้าทรงเผยแสดงพระองค์เอง ผ่านทางประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พระองค์ทรงเลือกสรรชาวอิสราเอลให้เป็นประชากรของพระเจ้า และที่สำคัญที่สุด พระองค์เผยแสดงผ่านทางพระเยซู ชาวนาซาเรธ พระเจ้าทรงทำให้ประวัติศาสตร์ของมนุษย์มีคุณค่าและความหมาย เป็นประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นที่พระองค์เสด็จลงสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ เพื่อช่วยสู่ความรอดพ้น
นักปรัชญาหลายท่าน โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 19 - 20 ได้อธิบายความหมายของประวัติศาสตร์มนุษยชาติว่า ไม่ได้เป็นเพียงแต่ความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต ประวัติศาสตร์เป็นขบวนการของกาลเวลาและการพัฒนาของมนุษยชาติ ซึ่งมีจุดเริ่มและมีเป้าหมายปลายทาง ความสำเร็จหรือความก้าวหน้าของประวัติศาสตร์ขึ้นกับการปฏิบัติและความรับผิดชอบของมนุษย์ การอธิบายประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเช่นนี้ พบได้จากแนวคิดของเฟรเดอริค เฮเกล และ พอล ริเกอร์ เป็นต้น
จากแนวคิดที่อธิบายคุณค่า ความหมายของประวัติศาสตร์ดังกล่าว ช่วยให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์เข้าใจประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น ซึ่งเป็นคำสอนสำคัญของคริสต์ศาสนาว่า ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่เป็นการพัฒนาของมนุษยชาติ ที่สืบเนื่องจนถึงทุกวันนี้ และสืบเนื่องไปในอนาคต โดยมีพระเจ้าเสด็จลงมาสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ เริ่มต้นตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลก และประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นนี้ จะสำเร็จไปและจะถึงเป้าหมายด้วยความรับผิดชอบของมนุษย์ ที่ตอบสนองพระประสงค์ของพระเจ้า จึงส่งผลให้การร่วมพิธีกรรม ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญของผู้นับถือศาสนาคริสต์ เป็นเครื่องหมาย และเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้นับถือศาสนาคริสต์ระลึกถึงเหตุการณ์ของอดีต โดยเฉพาะการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะทำให้ประวัติศาสตร์ของแต่ละคน คือ ชีวิตประจำวันของเรา เป็นการต่อเนื่องของประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น และการทำให้ความรอดพ้นของโลกสำเร็จไปในอนาคต อาศัยพระพรของพระเจ้า และความรับผิดชอบของแต่ละคนในการร่วมมือกับพระองค์
5.4 การนำแนวคิดของนักปรัชญาที่อธิบายเรื่องเสรีภาพ มาอธิบายเรื่องพื้นฐานของหลักศีลธรรมตามคำสอนของศาสนา
แนวคิดของนักปรัชญาสมัยปัจจุบัน โดยเฉพาะนักปรัชญาแนวอัตถิภาวนิยม (Existentialism) แนวเทวนิยม (บุคคลนิยม) และนักปรัชญาแนวปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ที่อธิบายคุณค่า ความหมายของชีวิตมนุษย์ด้วยการให้ความสำคัญต่อเสรีภาพ ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะของมนุษย์ในการบรรลุถึงความเป็นจริงสูงสุด
แนวคิดดังกล่าวนี้ได้ช่วยอธิบายหลักสำคัญในด้านศีลธรรม และช่วยให้เข้าใจว่าศีลธรรมนี้ไม่ได้เป็นแต่การถือตามกฎบัญญัติเท่านั้น เป็นวิธีการประพฤติที่มีรากฐานอยู่ในธรรมชาติมนุษย์และเป็นการพัฒนาตนเองตามความจริง แนวคิดของนักปรัชญาอัตถิภาวนิยมทำให้เราเข้าใจความหมายแท้ของเสรีภาพ ซึ่งไม่ได้เป็นการเลือกทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่เป็นการตัดสินใจด้วยตนเอง และด้วยความรับผิดชอบชีวิตของตนสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ดังเช่น ปอล ริเกอร์ (Paul Ricoeur) ที่อธิบายความหมายของเสรีภาพว่า เป็นการตัดสินใจด้วยเหตุผลของตนเอง ที่จะปฏิบัติตามความจริงที่เรารู้และยอมรับ เช่นเดียวกับแนวคิดของพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ที่นำเสนอเรื่องศีลธรรมของคริสตชน พระองค์อธิบายเสรีภาพในทำนองเดียวกันว่าเสรีภาพต้องสอดคล้องกับความจริงของชีวิต
จากแนวคิดของนักปรัชญาที่อธิบายธรรมชาติมนุษย์โดยเน้นถึงศักดิ์ศรีของมนุษย์ ที่เป็นทั้งจิตและร่างกายที่แยกไม่ได้ การอธิบายธรรมชาติมนุษย์เช่นนี้ เป็นเหตุผลเพื่อการเคารพสิทธิมนุษยชน และเพื่อจะสร้างระบบศีลธรรมที่เหมาะสมในสังคมปัจจุบัน แนวคิดของปรัชญาบุคคลนิยมเช่นนี้ อยู่ในเบื้องหลังของการสอนของศาสนาคริสต์เกี่ยวกับชีวิตและความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคม
6. สรุปประจำบท
แม้ว่าหลักธรรมคำสอนเกี่ยวกับความจริงในศาสนาจะมีลักษณะเป็นความลึกลับ (ธรรมล้ำลึก) ที่ผู้นับถือศาสนายังไม่อาจเข้าใจและไม่สามารถบรรลุถึงได้ทั้งหมด ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าหลักธรรมคำสอนในศาสนาจะมีลักษณะเป็นอุดมคติหรือหลักการดำเนินชีวิต (ในภาพรวม) สู่ความรอดพ้น ที่ผู้นับถือศาสนานำมาเป็นหลักสู่การประยุกต์ในชีวิตประจำวันเป็นกรณีของแต่ละบุคคล โดยมีความเชื่อศรัทธาเป็นพื้นฐานและอาศัยเหตุผลเพื่อช่วยอธิบายและทำให้ไม่หลงออกนอกแนวทางที่ศาสดาสอนไว้ จึงมีความจำเป็นต้องมีการศึกษาเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้ในสภาพการณ์ของแต่ละคน ผ่านทางการให้คำแนะนำจากศาสนบริกรของแต่ละศาสนา โดยเรียกร้องให้มีความ “ซื่อสัตย์"”และ “มุ่งมั่นทุ่มเท” และมีความรับผิดชอบที่แต่ละคนตัดสินใจอย่างอิสระต่อการก้าวเดินสู่ความจริงสูงสุด ตามสถานะ บทบาทของแต่ละบุคคล ตามหลักธรรมคำสอนของแต่ละศาสนา หลักธรรมคำสอนของศาสนา ไม่ได้มีไว้เพื่อประดับเพื่อความน่าเลื่อมใสศรัทธา แต่อาศัยแรงแห่งความเชื่อศรัทธา ที่กระตุ้นเตือนใจผู้นับถือศาสนา ให้ออกแรง ทำความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนนั้น ๆ เพื่อนำมาเป็นหลักปฏิบัติ (วิถีชีวิต) ของแต่ละบุคคลสู่ความจริงสูงสุด หลักธรรมคำสอนจึงไม่ใช่ทฤษฎี (นามธรรม) แต่เป็นหลักการที่มีชีวิต โดยผ่านทางการบำเพ็ญตนของศาสนิกชนในศาสนานั้น ๆ เนื่องจากศาสนาเป็นวิถีชีวิตสู่ความรอดพ้นของผู้มีชีวิต
พระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 ในเอกสารเรื่องความเชื่อและเหตุผล (Fides et Ratio, 1998) พระองค์ทรงเป็นห่วงปัญหาต่างๆ ที่ท้าทายความจริงของศาสนา พระองค์คิดว่าวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าว คือ การนำปรัชญาที่เป็นอภิปรัชญาแท้ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจะช่วยให้มนุษย์เข้าใจถึงคุณค่าและความหมายของชีวิตมนุษย์ เมื่อแนวคิดของผู้ที่ไว้ใจวิทยาศาสตร์แต่อย่างเดียวยืนยันว่า “ทุกสิ่งที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถทำได้ สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ดี” (John Paul II, 1998: 88) จำเป็นต้องมีอภิปรัชญาแท้คือ “ปรัชญาที่ออกนอกเหนือประสบการณ์ธรรมดา เพื่อจะถึงสิ่งที่สูงกว่าและที่เป็นหลักพื้นฐาน” (John Paul II, 1998: 83) ในการเข้าใจถึงความหมายของชีวิต เพราะฉะนั้น บทบาทของปรัชญาจึงมีสองด้าน กล่าวคือ ด้านหนึ่ง ปรัชญามีบทบาทช่วยให้เกิดการไตร่ตรอง นำสู่การตีความ และแสวงหาความหมายของสิ่งที่ปรากฏ “การท้าทายของปรัชญา ปลายศตวรรษที่ 20 นี้ คือการพยายามผ่านจากปรากฏการณ์เข้าไปสู่หลักพื้นฐาน” ในอีกด้านหนึ่ง “จำเป็นต้องพัฒนาความรู้และความคิดของปรัชญา เพื่อจะเป็นเหตุผลพื้นฐานของสติปัญญาที่มีความสามารถไปถึงความจริงแท้” (John Paul II, 1998: 83 - 84)
ดังนั้น การยอมรับคำสอนของศาสนาจึงไม่ได้เป็นความเชื่อศรัทธาที่งมงาย แต่เป็นสิ่งที่มีเหตุ มีผล และมีความหมายมากขึ้น บทบาทของปรัชญาจะเป็นเพียงตรรกวิทยา หรือการวิเคราะห์ภาษาไม่ได้ ปรัชญาจะเป็นแต่ “ผู้รับใช้” ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน ปรัชญาสมัยปัจจุบันต้องเป็นอภิปรัชญาแท้ คือ หนทางที่จะช่วยให้เราพบสิ่งที่มีคุณค่าและเป็นทิศทางดำเนินชีวิตที่ดีที่สุดในท่ามกลางสถานการณ์ของสังคมปัจจุบัน สภาพสังคมในสมัยปัจจุบัน เป็นสภาพที่มีทั้งความดีและตรงข้าม แน่นอนเราไม่ควรโทษวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่าเป็นสาเหตุของความชั่วร้าย หรือการท้าทายความเชื่อศรัทธาในศาสนาทุกกรณีไป แต่เมื่อเราต้องเผชิญสถานการณ์ใหม่และซับซ้อนยิ่งขึ้นในสังคมปัจจุบัน การสร้างและพัฒนาความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับชีวิต และศักดิ์ศรีของมนุษย์เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างรีบด่วน ปรัชญาในสมัยปัจจุบันพบการท้าทายที่จะเริ่มมีการไตร่ตรอง แสวงหาคุณค่าของชีวิต และคุณค่าที่มนุษย์ปรารถนา เพื่อจะดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า มีความหมาย มีเป้าหมายและเต็มด้วยความหวัง
วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)